27 กุมภาพันธ์ 2556

รถเมล์ และแท็กซี่


เอนทรี่นี้ มินจะมาพูดถึงการเดินทางในโซลอีก 2 วิธีที่เหลือกันนะคะ นั่นก็คือ การใช้บริการ รถเมล์ (Bus) และ รถแท็กซี่ (Taxi) ค่ะ


ตัวอย่าง สัญลักษณ์ป้ายรถเมล์ที่เกาหลี

รถเมล์หรือรถโดยสาร ที่วิ่งในโซลนั้นมีด้วยกันทั้งหมด 4 สี แบ่งตามเส้นทางดังนี้

สีน้ำเงิน จะให้บริการบนถนนสายหลัก และสำหรับระยะทางที่ค่อนข้างไกล ผ่านตัวเมืองโซล (จะเป็นตัวเลข 3 หลัก เช่น 102, 301 หรือมีตัวอักษรต่อท้าย เช่น 241A)

สีเขียว ระยะทางที่วิ่งจะสั้นกว่า และจะวิ่งผ่านระหว่างจุดเชื่อมต่อ เช่น สถานีรถไฟใต้ดิน และเส้นทางรถเมล์ระยะไกล (จะเป็นตัวเลข 4 หลัก เช่น 3412, 6715, 7011)

สีแดง เป็นรถเมล์ด่วนที่วิ่งจากโซลไปยังเขตชานเมือง (จะเป็นตัวเลข 4 หลัก เช่น 1101, 5002 หรือมีตัวอักษรต่อท้าย เช่น 9401B) *เช่นสาย 5002 ที่ไปยังเอเวอร์แลนด์ เมืองซูวอน

สีเหลือง จะวิ่งวนรอบเขตปริมณฑลของโซล (จะเป็นตัวเลข 1 หรือ 2 หลัก เช่น 2, 62)


ใครอ่านภาษาเกาหลีออก จะลองอ่านเส้นทางที่ป้ายก่อนขึ้นก็ได้นะคะ

ค่าโดยสาร สำหรับรถเมล์ สีเขียวและสีน้ำเงิน ใช้บัตรโดยสารจ่ายจะเหลือ 1200 วอน สีแดง ใช้บัตรโดยสารจ่ายจะเหลือ 2300 วอน ส่วนสีเหลืองราคาจะแตกต่างออกไป แต่จะราคาเดียวตลอดสายเหมือนกันหมด เรียกได้ว่าไม่ว่าจะนั่งไปใกล้รึไกลก็จ่ายเท่ากัน *ราคานี้ปรับขึ้นใหม่ มีผลตั้งแต่ 27 มิถุนายน 2558 เป็นต้นไป

ปัจจุบันมีการให้บริการรถเมล์ในช่วงกลางคืน (หลังเที่ยงคืนถึงตีห้า) แล้วด้วยนะคะ นั่นก็คือ Night Bus หรือรถบัสนกฮูกนั่นเอง ค่าโดยสาร 2150 วอน คลิกอ่านรายละเอียด


มากันที่การใช้บริการรถแท็กซี่กันบ้างค่ะ

รถแท็กซี่ ที่วิ่งในโซลนั้น มี 2 แบบ คือ แบบธรรมดา (คันสีขาว หรือคันสีส้มที่มีสัญลักษณ์ตัวฮาชิ - Haechi) กับ แบบสำหรับนักท่องเที่ยว (คันสีดำ) หรือที่เรียกว่า "โมบอม" ซึ่งโมบอมจะมีราคาแพงกว่า เพราะคนขับจะพูดภาษาอังกฤษได้ ไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวโดยตรง แต่คันสีขาวนั้นจะต้องฟุดฟิดฟอไฟให้งงเล่นกันไปค่ะ

ค่าบริการ
แท็กซี่คันสีขาว หรือสีส้ม 2  กิโลเมตรแรก 3000 วอน และทุกๆ 142  เมตรต่อไป คิดเพิ่ม 100 วอน และถ้าแท็กซี่วิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มิเตอร์จะเพิ่มอัตโนมัติ 100 วอน ทุกๆ 35 วินาที      
แท็กซี่คันสีดำ (โมบอม) 3 กิโลเมตรแรก  5000 วอน และทุกๆ 164 เมตร  คิดเพิ่ม 200 วอน และถ้าแท็กซี่วิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มิเตอร์จะเพิ่มอัตโนมัติ 200 วอน ทุกๆ 39 วินาที

ส่วนการชาร์ตค่าแท็กซี่เมื่อใช้บริการในตอนกลางคืนนั้น หากใช้บริการแท็กซี่ตั้งแต่ช่วงเวลา 00:00-04:00 จะชาร์ตเพิ่ม 20% ทั้งแบบธรรมดาและโมบอม และหากใช้บริการรถแท็กซี่นั่งไปนอกโซลนั้น จะบวกค่าบริการเพิ่มขึ้นจากมิเตอร์อีก 20% ซึ่งข้อกำหนดนี้เคยถูกยกเลิกไปเมื่อปี 2009 และตอนนี้ทางรัฐบาลได้พิจารณาให้นำกลับมาใช้ใหม่ค่ะ

*ค่าบริการนี้มีการปรับเปลี่ยนใหม่ และจะเริ่มใช้ตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป


Note : ก่อนหน้านี้การปฏิเสธการรับผู้โดยสารที่เกาหลี ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด และไม่ได้ผิดกฎหมายใดๆ เช่นกัน แต่ ตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป คนขับรถแท็กซี่ที่ปฏิเสธผู้โดยสาร จะถูกปรับ 200,000 วอน 

ก็ครบเรียบร้อยแล้วนะคะ สำหรับวิธีการใช้บริการขนส่งมวลชนต่างๆ ในโซล ซึ่งวิธีที่ง่ายและประหยัดที่สุดก็คือ "รถไฟใต้ดิน" นี่ล่ะค่ะ เว้นเสียว่าใครพาคุณพ่อคุณแม่หรือผู้สูงอายุไปเที่ยวกันเองแบบไม่พึ่งทัวร์ มินก็แนะนำว่าบางครั้งอาจต้องยอมจ่ายแพงกว่าด้วยการใช้บริการ "รถแท็กซี่" เนื่องจากสถานีรถไฟใต้ดินที่นั่น ค่อนข้างสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนพอสมควร (ฮาา) และกว้างใหญ่มากทีเดียว ทำให้ในบางสถานีต้องเดินเป็นระยะทางที่ไกลมากๆ เลยล่ะค่ะ ไกลกว่าบ้านเราเยอะ


บรรยากาศในสถานีรถไฟใต้ดิน

ส่วนรถเมล์นั้น ขอบอกเลยว่า สาย 8 ของไทยอายค่ะ เพราะว่าพี่เกาเขาขับรถได้ "เหวี่ยง" มากๆ เลยล่ะ 5555555 แต่เป็นการเหวี่ยงที่ปลอดภัยมากค่ะ คือไม่ปาดซ้าย ปาดขวา ปาดหน้าอะไรทั้งนั้น เพียงแต่คนประเทศนี้ทำอะไรแข่งกับ "เวลา" ค่ะ ทุกอย่างจึงดู "รีบร้อน" และ "รีบเร่ง" ไปเสียหมด ไม่เว้นแม้รถเมล์ค่ะ เพราะฉะนั้น อาจจะไม่สะดวกสำหรับคนสูงอายุเท่าไหร่นัก

บรรยากาศบนรถเมล์ที่เกาหลีค่ะ จากเบาะหลังสุด นั่งไปจับเสาสีแดงไป ไม่งั้น "ร่วง"

ส่วนวัยรุ่นขาลุยแล้วล่ะก็ รถไฟใต้ดิน เป็นทางเลือก "ที่ดีที่สุด" ค่ะ หรือใครอยากจะลองนั่งรถให้เสียวเล่น ก็ไปลองขึ้นรถเมล์ที่นั่นดูค่ะ แล้วจะรู้ว่า "สปีดเร็วกว่านรก" นั้น เป็นยังไง


เนื้อหานี้อยู่ในหนังสือรวมเรื่องเล่าในทวิตเตอร์ เล่ม 1


รถไฟใต้ดินโซล


*อัพเดทเพิ่มเติมข้อมูล มิถุนายน 2558

หลังจากเราได้ทำความรู้จักกับบัตรโดยสารในโซลกันไปแล้วนั้น คราวนี้มารู้จักถึง "ขนส่งมวลชน" ในโซลกันบ้างนะคะ ว่ามีอะไรบ้าง อย่างแรกที่จะพูดถึงเลยก็คือ รถไฟใต้ดิน หรือ Subway ค่ะ

รถไฟใต้ดินสายหลักๆ ในโซลนั้น ก็จะมีอยู่ประมาณ 11 สายค่ะ ซึ่งควรจำให้ได้ทั้งเลขสายและสี ก็จะดีมากค่ะ เพราะจะได้ไม่งงและสับสนเวลาต้องใช้บริการ เพราะการเดินตามสีนั้น อาจจะง่ายกว่า ไปดูกันว่าแต่ละสายนั้นสีอะไรบ้าง และสามารถนั่งไปยังที่ไหนได้บ้างค่ะ  (ภาพแผนที่ด้านล่างอัพเดทปี 2015)

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย


สาย 1 สีน้ำเงิน สามารถไปยัง Seoul Station (จุดเปลี่ยนเพื่อต่อไปมยองดง/จุดเชื่อม AREX), Jongno 3-ga Station (จุดเปลี่ยนไปวังคยองบก) และ Dongdaemun Station (เพื่อไปยังทงแดมุน)

สาย 2 สีเขียว สามารถไป Hongik Univ. Station หรือฮงแด (จุดเชื่อม AREX), Sinchon Station (ไปม.ชินชน,ม.ยอนเซ), Ewha Univ. Station หรืออีแด (ไปม.อีฮวา), Gangnam Station, Sincheon Station (COEX MALL/City Terminal Check in) และ Jamsil Station (สวนสนุก LOTTE WORLD)

สาย 3 สีส้ม สามารถไป  Anguk Station (อินซาดง), Gyeongbok-gung Station (วังคยองบก,วังชางด็อก),  Apgujeong Station, Sinsa Station (ไปถนนคาโรซูกิล, โรเดอโอสตรีท) และ Express Bus Terminal Station (ไปสะพานพันโพ สะพานสีรุ้ง)

สาย 4 สีฟ้า ไป Hoehyeon Station (นัมแดมุน), Myeongdong Station, Dongdaemun Station,  และ Hyehwa Station (แทฮังโนย่านมหาวิทยาลัย)

สาย 5 สีม่ว ไป Yeouido Station และ Yeouinaru Station (แม่น้ำฮัน), Gwanghwamun Station (จตุรัสควางฮวามุน, KTO, คลองชองกเยชอน), Gwangnaru Station (UNIQLO-AX สถานที่จัดคอนเสิร์ต และ Riverview 8th) Olympic Park Station (Olympic Stadium สถานที่จัดคอนเสิร์ต)

สาย 6 สีน้ำตา สามารถไปยัง Itaewon Station และ Sindang Station (ถนนชินดังดงย่านต็อกบกกี)

สาย 7 สีเขียวขี้ม้า ไปยัง Ttukseom Resort Station (ไปยังสวนสาธารณะตุ๊กซอม), Cheongdam Station (ย่านชองดัมดง) และ Express Bus Terminal Station (ไปสะพานพันโพ สะพานสีรุ้ง) ได้เช่นกัน

สาย 8 สีชมพู ไปยัง Jamsil Station (ไปสวนสนุก LOTTE WORLD ได้เหมือนกัน)

สาย 9 สีน้ำตาลอ่อน  สามารถไปยัง National Assembly Station (ตึก KBS HALL, Kiss Radio, สถานีโทรทัศน์ต่างๆ), Yeouido Station (แม่น้ำฮัน) และ Bongeunsa Station (วัดพงงึนซา)

และในปัจจุบัน ทางการเกาหลีก็ได้เปิดให้บริการรถไฟใต้ดินสายใหม่อีก 2 สาย นั่นก็คือ

สาย Bundang (พุนดัง) สีเหลือง ซึ่งจะเป็นสายที่เชื่อมสถานีสำคัญๆ ในย่านอัพกูจอง เช่น สถานีที่น่าสนใจก็คือ Apgujeong-Rodeo Station ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ระหว่าง Apgujeong Station กับ Cheongdam Station โดยสถานีนี้ทางออกจะอยู่หน้า ห้างแกลอเรีย สามารถลงสถานีนี้แล้วเดินไปยังถนนโรเดอโอ ย่านชองดัม รวมทั้งตึก SM ได้ใกล้และสะดวกกว่าเดิมค่ะ

ซึ่งถ้าหากนั่งมาจากย่านอื่น เช่น มยองดง ฮงแด อันกุก และอื่นๆ ก็ต้องนั่งสายสีเขียว หรือสีม่วง มาลงที่ Wangsimni Station แล้วจึงจะต่อสาย Bundang เพื่อไปยัง Apgujeong-Rodeo Station ได้ค่ะ

นอกจากนี้สายพุนดังยังพาเราไปไกลถึงเมืองซูวอนได้อีกด้วย เรียกว่าการเดินทางไปเที่ยวซูวอนไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อนแล้วค่ะ


ห้างแกลลอเรีย สาขาอัพกูจอง
ที่มีลักษณะเด่นไม่เหมือนสาขาอื่นคือ ตึกมีลักษณะเหมือนเกล็ดปลา


และอีกสายคือ สาย Shinbundang (ชินพุนดัง) สีแดง สายนี้จะเชื่อมต่อกับสายพุนดังค่ะ ผ่าน Gangnam Station และในอนาคตกำลังสร้างอยู่ สายนี้จะไปสุดทางที่ Yongsan Station สถานีที่ให้บริการรถไฟ KTX และ ITX ค่ะ

ดูแผนที่รถไฟใต้ดินในโซล พร้อมเสริชเส้นทางต่างๆ เพิ่มเติม ได้ที่นี่ ค่ะ


การใช้บริการ อย่างที่เคยบอกไปว่า แค่เพียงแตะบัตรที่ประตูทางเข้า และแตะอีกครั้งตอนออกเป็นอันจบ (คล้ายๆ บ้านเราค่ะ) ซึ่งตอนแตะบัตรทุกครั้ง จะมีตัวเลขเงินคงเหลือในบัตรแสดงให้ดู เราสามารถสังเกตจากตรงนี้ได้ หรือจะเอาไปแตะเช็คเงินในบัตรที่ตู้อัตโนมัติก็ได้เช่นกัน จะได้คอยเติมเงินให้เพียงพออยู่ตลอดนะคะ

ชานชาลาในสถานีรถไฟใต้ดิน

บรรยากาศบนรถไฟใต้ดิน

กิจกรรมบนรถไฟใต้ดินของพี่เกาเขาล่ะค่ะ

นอกจากนี้รถไฟใต้ดินที่นั่นเวลาลงจะมีเสียงประกาศบอกว่าประตูจะเปิดที่ทางไหน (ซ้ายหรือขวา) บางขบวนก็จะมี Moving sign board ติดไว้ในขบวนด้วย และจะมีตัววิ่งเป็นภาษาอังกฤษและเกาหลี เพื่อบอกว่าสถานีต่อไปคืออะไร  หากใครกลัวลงไม่ถูก กลัวเลยสถานี ก็คอยสังเกตที่บอร์ดนี้ก็ได้ค่ะ ปัจจุบันสะดวกมากแล้วสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะมีเสียงประกาศบอกสถานีที่จะลงหลายภาษามากๆ ทั้ง เกาหลี จีน ญี่ปุ่น และอังกฤษ จอแค่จำชื่อสถานีที่จะลงให้ได้ก็พอค่ะ ไม่มีเลยแน่นอน เว้นว่าจะเม้าจนลืมฟัง (เคย 555555) อ่านการใช้บริการรถไฟใต้ดินเพิ่มเติม

มีตลาดเล็กๆ ในสถานีรถไฟใต้ดินด้วยนะ เก๋เชียว

รถไฟใต้ดินที่นี่สามารถเอาอาหาร เครื่องดื่ม เข้ามากินได้อย่างสบายใจ แถมด้วยร้านรวงที่มีไว้พร้อมเสร็จสรรพ หิวเมื่อไหร่ ตอนไหน ก็ซื้อกิน นั่งกินได้ตลอดเลย (ชอบมาก) ขอแค่เก็บขยะกลับไปทิ้งด้วยก็พอ  บางสถานีก็มีร้านหนังสือเล็กๆ ขายพวกหนังสือพิมพ์ รึหนังสือทั่วไป รวมไปถึงแม็กกาซีน และมีร้านขายของ ทั้งเสื้อผ้า และขนมด้วยล่ะค่ะ

แผงหนังสือในสถานีรถไฟใต้ดิน

บางสถานีเช่น Myeongdong Station, Gangnam Station, Express Bus Terminal Station เป็นต้น จะแอดว๊านซ์ยิ่งขึ้น ด้วยการมีช้อปปิ้งมอลล์อยู่ในนั้นด้วย ใครนั่งมาต่อสายรถ รึมาลงที่สถานีต่างๆ เหล่านี้พอดีแล้วล่ะก็ ยังไม่ทันจะออกไปบนพื้นถนนเลย อาจจะหมดตัวก่อนก็เป็นได้ค่ะ อิอิ อ้อ...และถ้าเจอคนขายของตะโกนโหวกเหวกอยู่บนรถไฟ ก็ไม่ต้องตกใจไปค่ะ เพราะเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ ลองนั่งดูเขาขายบางทีก็เพลินเหมือนกันนะ

มีร้านค้ามากมายเต็มไปหมด ไม่ต้องกลัวหิวระหว่างเดินทางค่ะ


วิธีเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วยรถไฟใต้ดิน

สาย 1 สีน้ำเงิน
KTO ลง Jonggak Station ทางออก 5
วังถ็อกซู ลง City Hall Station ทางออก 2 หรือจะนั่งสาย 2 สีเขียวมาก็ได้ ลงสถานีเดียวกัน
Seoul Plaza ลง City Hall Station ทางออก 5 หรือสาย 2 สีเขียวก็ได้
ตลาดกวางจัง ลง Jongno 5-ga Station ทางออก 8
สถานีโซล (AREX, KTX) ลง Seoul Station
ตลาดปลาโนรยางจิน ลง Noryangin Station ทางออก 1 หรือสาย 9 สีน้ำตาลอ่อนก็ได้เช่นกัน

สาย 2 สีเขียว
ฮงแด ลง Hongik Univ. Station ทางออก 9
ชินชน ลง Sinchon Station ทางออก 2,3
อีแด ลง Ehwa Univ. Station ทางออก 2,3 (หรือจะเดิน/นั่งรถเมล์จากฮงแดไปก็ได้ รถเมล์สาย 7011)
คอนแด ลง Konkuk Univ. Station ทางออก 2,4
สถานีรถบัสทงโซล ลง Gangbyeon Station
คังนัม ลง Gangnam Station ทางออก 10,11 (และสามารถเดินไปต่อรถเมล์เพื่อไปยังสวนสนุกเอเวอร์แลนด์ได้ค่ะ สาย 5002)
COEX MALL ลง Samseong Station ทางออก 5
LOTTE WORLD ลง Jamsil Station ทางออก 4 หรือ สาย 8 สีชมพูก็ได้

สาย 3 สีส้ม
สถานีรถบัสนัมบู ลง Nambu Bus Terminal Station
Gangnam Tourist Information Center ลง Apgujeong Station ทางออก 6
อัพกูจอง ลง Apgujeong Station ทางออก 2,5 
คาโรซูกิล ลง Apgujeong Station ทางออก 5 หรือ Sinsa Station ทางออก 8 
วังคยองบก ลง Gyeongbok-gung Station ทางออก 5 (สามารถเดินไปยังซัมชองดงกิล และ บุคชนฮันอกได้)
อินซาดง ลง Anguk Station ทางออก 6 (สามารถข้ามไปฝั่งตรงข้าม เพื่อไปยังวังชางด็อกกุงได้ด้วย)
วัดโชกเย ลง Anguk Station ทางออก 6 
วังชางด็อก ลง Anguk Station ทางออก 3

สาย 4 สีฟ้า
หมู่บ้านวัฒนธรรมนัมซานกล ลง Chungmuro Station ทางออก 3,4
มยองดง ลง Myeongdong Station ทางออก 6
นัมแดมุน ลง Hoehyeon Station ทางออก 5,6 (จากนัมแดมุน เดินลัดเลาะไปมยองดงได้ อยู่ข้างๆกันเลย)
โซลทาวเวอร์ ลง Dongguk Univ. Station ทางออก 6 เดินไปตามป้าย เลียบสวนสาธารณะไปเรื่อยๆ จนเจอป้ายรถเมล์ (ค่อนข้างไกลนิดนึง) แล้วขึ้นสาย 2 หรือสาย 5 ก็ได้ แต่จะเดินขึ้นเนินเขาต่อไปอีกสักหน่อย ถ้าขี้เกียจเดิน แนะนำให้ขึ้นเคเบิ้ลคาร์แทน
แทฮังโน ลง Hyehwa Station ทางออก 1,2
ทงแดมุน ลง Dongdaemun Station ทางออก 8,9 หรือจะมาสาย 1 สีน้ำเงินก็ได้ ลงสถานีเดียวกัน
DDP ลง Dongdaemun History & Culture Park Station ทางออก 1 หรือสาย 2 สีเขียว, สาย 4 สีฟ้า และสาย 5 สีม่วง ก็ได้เช่นกัน
Seoul Grand Park, Seoul Land ลง Seoul Grand Park Station ทางออก 2 

สาย 5 สีม่วง
จตุรัสควางฮวามุน ลง Gwanghwamun Station ทางออก 9
ร้านหนังสือ KYOBO ลง Gwanghwamun Station ทางออก 4
คลองชองกเย ลง Gwanghwamun Station ทางออก 5
Donghwa Duty Free, City Tour Bus ลง Gwanghwamun Station ทางออก 6
KTO ลง Gwanghwamun Station ทางออก 5 หรือสาย 1 สีน้ำเงิน Jonggak Station ทางออก 5
*ซึ่งจริงๆ ทุกสถานที่นี้ สามารถเดินถึงกันได้หมดนะคะ เพราะอยู่ในบริเวณของจตุรัสควางฮวามุน ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็เป็นคลองชองกเยชอนนั่นเอง
Riverview 8th Avenue (สถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง IRIS และ City Hunter) ลง Gwangnaru Station ทางออก 2
สนามบินคิมโป ลง Gimpo International Airport หรือสาย 9 สีน้ำตาลอ่อนก็ได้
Olympic Stadium ลง Olympic Park Station ทางออก 3

สาย 6 สีน้ำตาล
World Cup Stadium และ สวนฮานึลที่จัดเทศกาลดอกหญ้า ลง World Cup Stadium ทางออก 1
ฮงแด ลง Sangsu Station ทางออก 1,2
อิแทวอน ลง Itaewon Station ทางออกไหนก็ได้เหมือนกัน
พิพิธภัณฑ์ทหาร ลง Samgakji Station ทางออก 12 หรือสาย 4 สีฟ้าก็ได้

สาย 7 สีเขียวขี้ม้า
สะพานพันโพ (สะพานสายรุ้ง) ลง Express Bus Terminal Station ทางออก 8-1 หรือสาย 3 สีส้ม หรือสาย 9 สีน้ำตาลอ่อนก็ได้ ลงสถานีเดียวกัน (จากสะพานเดินไปเกาะเทียม Some Sevit ได้ด้วย)
ถนนชองดัมดง ย่านค่ายเพลง ลง Cheongdam Station
สวนสาธารณะตุ๊กซอม ลง Ttukseom Resort Station ทางออก 2,3
Children's Grand Park ลง Children's Grand Park Station ทางออก 1

สาย 8 สีชมพู
LOTTE WORLD MALL ลง Jamsil Station ทางออก 10, 11
Olympic Park ลง Mongchontoseong Station ทางออก 1

สาย 9 สีน้ำตาลอ่อน
สถานที่จัดงานเทศกาลดอกซากุระที่ยออึยโด ลง National Assembly Station ทางออก 1, 6
วัดพงงึนซา ลง Bongeunsa Station ทางออก 1

สาย Bundang สีเหลือง
Seoul Forest ลง Seoul Forest Station ทางออก 3
โรเดอโอสตรีท ลง Apgujeong-Rodeo Station ทางออก 2,7 (ถ้าใครจะไปตึก SM, FNC, Hook, JYP, CUBE รวมทั้ง Coffee Cojjee และ CUBE Cafe มาสายนี้เดินใกล้กว่ามากค่ะ)


หวังว่าเอนทรี่นี้ น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างนะคะ และในครั้งหน้า มินจะนำ วิธีการ "เติมเงิน" บัตรทีมันนี่ ด้วยตู้อัตโนมัติ มาอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด พร้อมภาพประกอบกันบ้างค่ะ


เนื้อหานี้อยู่ในหนังสือรวมเรื่องเล่าในทวิตเตอร์ เล่ม 1



บัตร Korea Pass




มาพูดถึงบัตรโดยสารสารพัดประโยชน์ชนิดที่สองกันต่อดีกว่านะคะ นั่นก็คือ บัตรโคเรียพาส ค่ะ มินขออธิบายอย่างละเอียด เพื่อที่หลายคนจะได้เข้าใจสิทธิประโยชน์ วิธีการใช้ ความคุ้มค่า และการตัดสินใจ ว่าระหว่างโคเรียพาส กับทีมันนี่ เราเหมาะกับบัตรไหนมากกว่ากันค่ะ

Korea Pass Card นั้น มีทั้งแบบที่ใช้ในโซลและใช้ที่ปูซาน ความแตกต่างของบัตรนี้กับทีมันนี่ก็คือ  บัตรนี้สามารถใช้จ่ายแทนเงินสดได้ นอกเหนือไปจากค่าโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นค่าโรงแรมที่พัก (ในเครือที่กำหนด) ค่าเข้าชมสถานที่ (บางแห่ง) และช้อปปิ้งในร้านค้าต่างๆ เช่น ดิวตี้ฟรี และอื่นๆ อีกมากมายได้ ซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ "บัตรเดบิต" นั่นเอง

การใช้จ่ายด้วยโคเรียพาสนั้น สถานที่ต่างๆ ที่จะใช้บัตรโคเรียพาสได้ จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ LOTTE ผู้เป็นเจ้าของบัตร เช่น ใช้ซื้อบัตรผ่านประตู เข้าสวนสนุก LOTTE WORLD พร้อมส่วนลด 20% และใช้ซื้อบัตรเข้าชมหอดูดาวที่โซลทาวเวอร์ พร้อมส่วนลด 10% เป็นต้น แต่ต้องตัดคูปองด้านหลังของหนังสือมาใช้คู่กันนะคะ ถ้าไม่มีคูปองก็ลดไม่ได้ค่ะ ยุ่งยากเนอะ ^^" ส่วนหนังสือที่ว่า จะมาพร้อมกับบัตรโคเรียพาส ตอนเราไปซื้อนั่นแหละค่ะ หน้าตาหนังสือและคูปองที่ว่าเป็นแบบนี้



นอกจากนี้ยังมีส่วนลดให้ 5000วอน  เมื่อใช้ซื้อของใน LOTTE MART มากกว่า 70000 วอนขึ้นไป  หรือ ลด 3000 วอน เมื่อซื้อของที่ LOTTE Super เกิน 50000 วอน รวมทั้งยังใช้จ่ายในมินิมาร์ทได้เหมือนทีมันนี่อีกด้วย แต่ต้องซื้อครั้งละเกิน 1000 วอน ขึ้นไปเท่านั้นค่ะ ถึงจะใช้ได้ 

สามารถเช็คสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้ ที่นี่  โดยเลือกหัวข้อทางซ้ายมือ >> AFFILIATES


ส่วนการใช้จ่ายแทน ค่าโดยสาร สำหรับเดินทางในโซลนั้น *จะต้องเติมเงินต่างหากค่ะ* งงใช่มั้ยคะ? ตอนแรกมินก็งงเหมือนกัน แต่ถามไปถามมา ถึงได้ความว่า บัตรนี้นั้น วงเงินหน้าบัตรจะใช้แทนบัตรเดบิตได้ ในการใช้จ่ายค่าเข้าสถานที่ รึซื้อของต่างๆ ตามข้างต้น แต่จะไม่นับรวมไปถึงจ่ายค่าโดยสารค่ะ ซึ่งหากจะใช้บัตรนี้ควบคู่ไปกับการจ่ายค่าโดยสาร โดยที่ไม่ต้องซื้อบัตรทีมันนี่เพิ่มอีกใบนึง ง่ายๆก็คือ เติมเงินลงบัตรเหมือนทีมันนี่ทุกประการค่ะ (ทั้งสถานที่และวิธีการเดียวกันเป๊ะค่ะ) อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บัตรทีมันนี่ 

*และบัตรโคเรียพาส ไม่สามารถ ใช้เติมเงินแล้วจ่ายค่าโดยสาร รถแอร์พอตบัส ได้ค่ะ (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่มันใช้ไม่ได้ ในขณะที่ทีมันนี่ใช้ได้สบายมากค่ะ


สถานที่ซื้อบัตร 

ในโซล สามารถซื้อได้ที่ บูธ HanaBank ที่สนามบินอินชอน (อยู่ใกล้กับ Gate 5) และสนามบินคิมโป รวมทั้งสาขาของธนาคารในโซลบางสาขา,บูธ Airport Railroad ที่สนามบินทั้งสองแห่ง,Lotte Mart หรือ 7-11  (บางสาขา) และที่ KTO (ตึกตั้งอยู่ที่ควางฮวามุน) บัตรราคา 50000/100000/300000 และ 500000 วอน เลือกตามความพอใจ

ส่วนที่ปูซาน หาซื้อได้ที่สนามบินคิมแฮ, บูธ Information ที่ท่าเรือปูซาน, สถานีรถไฟใต้ดินปูซาน และ Lotte Mart  หรือ 7-11 เช่นกัน บัตรราคา 50000 วอน มีให้เลือกราคาเดียวค่ะ และเวลาซื้อนั้น จะต้องใช้พาสสปอตด้วย ตามจำนวนคนค่ะ เช่นว่าต้องการซื้อสามใบ ก็ต้องใช้พาสสปอตสามเล่มจ้า

**ซึ่งการจะเลือกซื้อเท่าไหร่นั้น มินขอให้ดูการใช้ และคำนวณกะเกณฑ์ให้ดี เพราะบัตรนี้จะต่างจากทีมันนี่ตรงที่ว่า ถ้าใช้เงินในบัตรเหลือน้อยกว่า 20% ของราคาหน้าบัตร จะได้รับเงินคืนตามจำนวนทั้งหมด แต่ถ้าเหลือมากกว่า 20% จะโดนหักค่าปรับ 5% 


บูธ Hana Bank ที่สนามบินอินชอน

การคืนบัตร ในหนังสือที่ได้มาด้วยนั้นบอกว่า หากเหลือมากกว่า 20% จะคืนได้ที่บูธ Tax Free เพียงที่เดียว แต่ถ้าเหลือน้อยกว่า 20%สามารถคืนเงินที่ 7-11ได้อีกทาง แต่ในความเป็นจริงตอนอยู่ที่นั่น มินโทรไปถามเจ้าหน้าที่ที่ 1330 มา เขาบอกว่า จะคืนได้ที่บูธ Tax Free ได้ที่เดียวเท่านั้น ซึ่งบูธ Tax Free จะมีอยู่สองที่คือที่สนามบินอินชอน และที่ห้าง Doota ที่ทงแดมุนค่ะ  และเมื่อเอาบัตรไปคืน จะโดนหักค่าบัตร 500วอน (สำหรับที่โซล) และ 200 วอน (สำหรับที่ปูซาน) ส่วนมินนั้นใช้ให้หมดค่ะ เพราะขี้เกียจเอาไปคืน ก็แค่ใช้จ่ายแทนเงินสดเวลาเข้า 7-11 ทุกครั้ง และก็ใช้จ่ายที่ Lotte Mart ก็หมดแล้วล่ะค่ะ อิอิ


มินิมาร์ทที่เกาหลี มีขนมและเครื่องดื่มให้เสียเงินได้ทุกวัน อิอิ

ก็ลองพิจารณากันดูนะคะ ว่าการไปเที่ยวของเรานั้น เหมาะกับการใช้บัตรประเภทใดมากกว่ากัน เรามีโอกาสจะใช้จ่ายกับสิ่งไหนบ้าง และมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้คิดไว้ว่าสักเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้เลือกบัตรให้ตรงความต้องการ และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากที่สุดค่ะ

คำแนะนำ หากจะใช้เป็นแค่บัตรโดยสาร มินว่าแค่ทีมันนี่ก็พอค่ะ เราคุมค่าใช้จ่ายได้ เติมเงินทีละน้อยๆ เท่าที่ใช้ เผื่อว่าขี้เกียจเอาไปแลกคืนจะได้ไม่เสียดายเงินในบัตร (ส่วนตัวมินใช้ทั้งซื้อของในมินิมาร์ทและจ่ายค่ารถค่ะ) แถมบัตรทีมันนี่ยังไม่มีวันหมดอายุด้วย

ส่วนใครที่ดูแล้วว่า เราได้ใช้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มขั้น มั่นใจว่าจะซื้อของใน Lotte Mart เยอะแน่ๆ ใช้โคเรียพาสไปเลยค่ะ คุ้มกว่า เพราะมีส่วนลดมากมาย แต่เช่นกันว่า คำนวณให้ดี และพยายามใช้ให้หมดจะดีกว่า เพราะเวลาแลกคืนจะยุ่งยากกว่าทีมันนี่ ที่สำคัญ บัตรมีอายุประมาณ 4 ปี นับจากวันที่ซื้อ หากเหลือเงินในบัตรเยอะ แล้วไม่มีเวลาไปแลกคืนหรือเที่ยวจนลืม ภายในสี่ปีหากไม่ได้กลับมาเที่ยวเกาหลีอีก ก็จะเสียเงินในบัตรไปเปล่าๆ นะคะ เสียดายแย่ค่ะ เงินทองหายากเนอะ ^^

หากใครมีข้อสงสัยอย่างอื่น รึยังไม่ค่อยเข้าใจ รึเลือกไม่ถูก ทิ้งคำถามไว้ที่คอมเม้นด้านล่างได้นะคะ มินจะเข้ามาตอบให้จ้า


เนื้อหานี้อยู่ในหนังสือรวมเรื่องเล่าในทวิตเตอร์ เล่ม 1



20 กุมภาพันธ์ 2556

บัตร T-Money


การเดินทางในโซลนั้นถือว่าสะดวกสบายอย่างที่สุดค่ะ เพราะมีบริการขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมทั้งเมือง ให้เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างง่ายดายแถมประหยัดอีกด้วย ซึ่งการจะเที่ยวโซลให้คุ้มค่านั้น ควรจะต้องมีบัตรโดยสารคู่ใจเพื่อใช้จ่ายแทนเงินสด นอกจากจะประหยัดเวลาไม่ต้องไปซื้อตั๋วในแต่ละเที่ยวแล้วนั้น ยังช่วยประหยัดเงินกระเป๋าได้อีกด้วยกับส่วนลดในทุกๆ ครั้งที่ใช้ 

ในโซลนั้นมีบัตรโดยสารให้เลือกใช้หลักๆ อยู่ 2แบบคือ บัตรทีมันนี่ (T-Money Card) และ บัตรโคเรียพาส (Korea Pass Card) *คนละอย่างกับบัตร KR Pass ที่ใช้ขึ้นรถไฟ KTX* สองบัตรนี้มีความแตกต่างกันอยู่นิดหน่อยในเรื่องของสิทธิประโยชน์ แต่ที่เหมือนกันก็คือ “สามารถใช้จ่ายค่าโดยสารได้ ไม่ว่าจะรถเมล์ รถไฟใต้ดิน หรือแท็กซี่” 

ซึ่งในเอนทรี่นี้ มินจะขออธิบายถึงบัตรทีมันนี่ก่อนนะคะ (อาจจะยาวนิดนึง)


ตัวอย่างบัตรทีมันนี่คู่ใจของมินเอง

บัตรทีมันนี่ สามารถใช้จ่ายค่าบริการขนส่งสาธารณะได้ทั้งหมด รวมไปถึงแท็กซี่ ซึ่งหากใช้บัตรทีมันนี่แตะจ่ายแทนเงินสด ก็จะลดค่าบริการทั้งรถเมล์และรถไฟใต้ดินลงเที่ยวละ 100 วอน ทุกระยะทาง เช่น จาก 1350 วอน จะเหลือ 1250 วอน (ค่าบริการเริ่มต้นนี้ ปรับขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2015) เพราะฉะนั้นในการไปเที่ยวโซล เพื่อความคุ้มค่าและสะดวกสบาย ควรซื้อบัตรทีมันนี่ไว้ใช้  นอกจากลดค่าบริการแล้ว  ยังใช้แทนเงินสดเพื่อจับจ่ายซื้อของในมินิมาร์ทได้อีกด้วยทั้ง 7-11, CU (Family Mart) และ GS25

บัตรทีมันนี่ สามารถซื้อได้ที่ร้านมินิมาร์ทที่เอ่ยไปทุกสาขา หรือจะซื้อกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้องในสถานีรถไฟใต้ดิน หรือซื้อด้วยตนเองกับตู้ขายตั๋วอัตโนมัติก็ได้ ซื้อแล้วก็เติมเงินเสียเลยสะดวกดี (มีวิธีใช้ที่ตู้เป็นภาษาอังกฤษกำกับ) ค่าบัตรราคา 2500 วอน และบัตรไม่มีหมดอายุใช้ได้ตลอด ของมินตั้งแต่ปี 2010 ทุกวันนี้ก็ยังใช้ได้ค่ะ

**ปัจจุบันนี้ เขาได้เปลี่ยนจากบัตรทีมันนีแบบธรรมดานี้ มาเป็นบัตร Seoul City Pass Plus แล้วนะคะ และราคาบัตรเพิ่มขึ้นเป็น 3000 วอน แต่ได้สิทธิประโยชน์ดีๆ เพิ่มขึ้นด้วย อ่านรายละเอียด


วิธีใช้บัตรโดยสารคือ เติมเงินลงในบัตร โดยเติมเองที่ตู้เติมเงินในสถานีรถไฟใต้ดิน หรือเติมกับพนักงานในร้านมินิมาร์ทก็ตามแต่สะดวก และเวลาคืนบัตรก็ทำได้ทั้งสองช่องทางเช่นกัน โดยจะได้ค่าบัตร 2500 วอนคืนด้วย แต่ถ้าใครอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก หรือเอาไว้ใช้ครั้งต่อไปเมื่อมาเยือนโซลอีกก็ได้ เพราะซื้อครั้งเดียวเก็บไว้ใช้ได้อีกหลายครั้ง โดยไม่ต้องซื้อใหม่ และ ไม่มีวันหมดอายุ

ความจริงแล้วบัตรทีมันนี่นั้นมีหลายรูปแบบและหลายการใช้งานค่ะ ซึ่งรูปแบบนั้นก็มีทั้งแบบการ์ดหน้าตาธรรมดาๆ หรือการ์ดที่มีรูปของศิลปิน หรือเป็นแบบพวงกุญแจการ์ตูนน่ารักๆ ซึ่งแบบพวงกุญแจนั้นหาซื้อได้ในร้านมินิมาร์ท ส่วนการ์ดรูปศิลปินนั้น หาได้ตามร้านขายของที่ระลึกศิลปิน เช่น ร้านค้าในสถานีรถไฟใต้ดิน แต่สนนราคาก็จะแพงกว่าแบบธรรมดาตามปกติที่มีออพชั่นเสริม เพราะมีราคาตั้งแต่ 3000 ไปจนถึง 10000 วอนก็มี ส่วนการ์ดรูปศิลปินราคาใบละ 10000-12000 วอน


T-Money Card ในรูปแบบต่างๆ

Photo by herbandlace.com

Photo by seoulistic.com


Photo by @KittyYunho0602


วิธีใช้บัตรทีมันนี่เมื่อขึ้นรถไฟใต้ดิน ก็จะคล้ายๆ กับของบ้านเราค่ะ เพียงแตะบัตรแล้วเดินผ่านเข้าไปยังชานชาลา หากต้องเปลี่ยนสาย (ทรานส์เฟอร์) ก็แค่แตะบัตรอีกครั้งระหว่างเดินไปเปลี่ยนสาย และขาออกก็แตะอีกทีเพื่อเดินออกไปเท่านั้นเองไม่มีอะไรยุ่งยากเลย ซึ่งเวลาเปลี่ยนสายก็จะคิดค่าบริการประมาณ 200-400 วอน แล้วแต่ระยะทางใกล้ไกล

สำหรับรถเมล์นั้น จะแตะบัตรที่ประตูหน้าข้างคนขับ และแตะบัตรตอนลงที่ประตูอีกครั้ง แต่หากขึ้นรถเมล์แล้วอยากจ่ายเงินสด ก็สามารถทำได้ โดยหยอดเงินลงกระป๋องที่ข้างคนขับ ถ้าค่าโดยสารไม่พอดี คนขับจะกดทอนเงินให้เองค่ะ

ส่วนการจ่ายค่าแท็กซี่นั้น สามารถใช้บัตรทีมันนี่ยื่นจ่ายแทนเงินสดได้เลย ง่ายและสะดวกมากๆ

หรือจะดูรายละเอียดบัตรแบบอื่นๆ เพิ่มเติม ก็ดูได้ ที่นี่ เลยค่ะ เขามีอธิบายไว้เป็นภาษาอังกฤษเรียบร้อย และในเอนทรี่ต่อไป มินจะมาอธิบายถึง บัตรโคเรียพาส กันบ้างค่ะ


เนื้อหานี้อยู่ในหนังสือรวมเรื่องเล่าในทวิตเตอร์ เล่ม 1



HOLLYS COFFEE


ร้านกาแฟแบรนด์ต่างๆ ในเกาหลีนั้น มีทั้งที่เป็นของต่างประเทศ เช่น Starbucks, Coffee Bean & Tea Leaf, Caffe Pascucci, JAVA CITY เป็นต้นแล้วนั้น ยังมีแบรนด์ของเกาหลีเองปะปนอยู่หลายแบรนด์ด้วยกันค่ะ ล้วนแล้วแต่เปิดแฟรนไชส์ขยายสาขามากมายนับร้อย เรียกได้ว่านับไม่ถ้วนกันเลยทีเดียว ส่วนร้านไหนบ้างที่เป็นที่นิยมที่นั่น? ตามมินไปชมกันค่ะ 


เริ่มจาก  HOLLYS COFFEE ร้านกาแฟอันแสนอบอุ่นและโรแมนติก ที่มีสโลแกนของร้านว่า "Fresh Coffee Romantic Space" จัดได้ว่าเป็นร้านกาแฟแบรนด์ดังที่ เก่าแก่ที่สุดในเกาหลี เพราะว่าเปิดมาตั้งแต่ปี 1998 และมีสาขาแรกอยู่ที่คังนัม ปัจจุบันมี 359 สาขาทั่วประเทศ เมล็ดกาแฟที่ร้าน ใช้เมล็ดกาแฟจากดัชต์ค่ะ และในตอนนี้ ก็ได้มาเปิดสาขาที่ประเทศไทยแล้ว โดยสาขาแรกอยู่ที่ สุขุมวิท 15 ตรงข้ามโคเรียนทาวน์ อยู่ติดถนนใหญ่เลย หาง่ายมากๆ ที่สำคัญ เปิดตลอด 24 ชม.ด้วยล่ะค่ะ ใครยังไม่มีโอกาสไปชิมที่เกาหลี ก็แวะเวียนไปยังร้านที่ไทยก่อนก็ได้นะคะ อ่านรีวิว

Photo by HOLLYS

ส่วนเมนูขายดีอันดับหนึ่งของร้านคือ 카라멜 마키 아토 (Caramel Macchiato) ราคา 5000 วอน และเมนูอื่นๆ ก็เช่น Coffee ราคา 3300 – 5800 วอน Smoothie ราคา 4600 – 4800 วอน Tea ราคา 3800 – 4300 วอน นอกจากนี้ยังมี Waffle, Bakery,Cake  และ Bingsu ด้วยค่ะ

นอกจากนี้ร้านนี้ก็เป็นหนึ่งในร้านกาแฟที่ใช้ถ่ายทำละครกับเขาด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือเรื่อง Rooftop Prince ที่สาขาชองกเยอิลกา ค่ะ

คลิกเข้าไปชมเว็บไซต์ของร้าน ได้ที่นี่
เข้าไปในเว็บแล้ว ได้ฟังเพลง จะรู้สึกเลยว่า "ร้านนี้โรแมนติก" จริงๆ ค่ะ

MANGO SIX



MANGO SIX ร้านนี้เพิ่งเปิดเมื่อปี 2011 ค่ะ และได้นักแสดงอย่างกงยูเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ความเด่นดังของร้านกลับไม่ใช่กาแฟ แต่กลายเป็นเมนูสุดฮิตอย่างมะม่วงแทน เพราะที่นี่เป็นการผสมผสานระหว่างสารพัดเมนูจากมะม่วง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มหรือของหวาน ที่ใช้มะม่วงจากไร่ที่ทำการปลูกเองเพื่อวัตถุดิบที่ดีที่สุด และกาแฟเข้มข้นที่ใช้เมล็ดกาแฟ KONA จากฮาวาย ตอนนี้มี 81 สาขาทั่วประเทศ 

ซึ่งถ้าว่ากันแล้ว ความดังและความนิยมของร้านนี้นั้น เริ่มมากขึ้นหลังจากที่ละครเรื่อง A Gentleman's Dignity ได้ออกอากาศไป เพราะว่าแทบจะทั้งเรื่อง ตัวละครนั้นดื่มแต่เครื่องดื่มของร้านนี้แทบทั้งสิ้น แถมร้านนี้ยังใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักๆ ของเรื่องอีกด้วย ซึ่งสาขาที่ใช้ถ่ายทำนั้นก็คือสาขาโทซานค่ะ และสาขานี้ได้ชื่อว่ามีการตกแต่งให้เป็นแนว Jungle ด้วย




และตอนนี้ที่สาขาโทซานนั้น ก็เริ่มดังมากเช่นกัน เพราะหลังจาก A Gentleman's Dignity ก็มีรายการทีวีมาถ่ายทำมากมาย อาทิ Infinity Challange, Teen Top & 100% Rising Brothers, Hello Baby Boyfriend รวมไปถึงมิวสิควิดีโอเพลง A Midsummer Night's Dream ของ B.E.G อีกด้วย เห็นมั้ยคะว่า อิทธิพลของจางดงกอนและละครนี่แรงจริงๆ



ฟังเพลงเพราะๆ ได้ด้านล่างเลยค่ะ



นอกไปจากนี้ สาขาอัพกูจอง ก็เคยมีศิลปินอย่าง SHINEE มาถ่ายทำรายการ รวมไปถึงสาขาอีแด ก็เป็นสาขาที่สองหนุ่มดงบัง เคยไปถ่ายทำรายการด้วยเช่นกัน และล่าสุดกับละครยอดฮิตอย่าง The Heirs ก็ได้มาถ่ายทำที่ร้านนี้เช่นกันค่ะ อ่านได้ที่นี่เลย

แน่นอนว่าเมนูขายดีสุดฮิตของร้านคงหนีไม่พ้น 망고 (Mango) น้ำมะม่วงพรีเมี่ยม 100% ราคา 5700 วอนค่ะ นอกจากนี้ก็มี Coffee ราคา 3500-4800 วอน Fruit Juice ราคา 5200-5700 วอน Bingsu ราคา 6200 วอน ของหวานก็มี Yogurt Ice Cream แบบตักเอง Bakery และ Cake ต่างๆ ค่ะ รวมไปถึงมีเมนูของคาวเพิ่มเข้ามา นั่นก็คือ พิซซ่า ค่ะ

และยังมีในส่วนของ KUKI SIX นั่นก็คือ Homemade Cookie & Fresh Bread ของทางร้านนั่นเองค่ะ ซึ่งเขาก็บอกว่าคุ๊กกี้ของร้านเขานั้นเป็น "Premium" ด้วย และในไลน์นี้ก็ได้นิโคล KARA เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ด้วยล่ะค่ะ



สามารถดูรายละเอียดอื่นๆ และเมนูต่างๆ ที่น่าลิ้มลอง ได้ที่นี่ ค่ะ

KONA BEANS




KONA BEANS แค่เพียงชื่อร้านก็บอกแล้วว่าเมล็ดกาแฟนั้นมาจากฮาวาย ประเทศอเมริกา (เมล็ดกาแฟโคน่า) ด้วยเหตุผลนี้ ภายในร้านจึงตกแต่งสไตล์ฮาวายเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ และที่ร้านยังบอกว่ากาแฟของตัวเองนั้นเป็น Hawaiian Coffee ชัดเจน นอกจากนี้แล้วยังมีกาแฟจากดัชต์อีกด้วย


Photo by konabeans

ร้านนี้จัดว่าเป็นร้านกาแฟ “น้องใหม่” ในแวดวงร้านกาแฟในเกาหลี เพราะว่าเพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อปี 2011ที่ผ่านมาที่ชินซา และถึงตอนนี้ก็มี 13 สาขาทั่วประเทศ ในโซลมี 9 สาขา หนึ่งในนั้นคือ สาขาของ SJ ที่อยู่ที่อัพกูจอง นอกนั้นอยู่ที่เชจู ปูซาน และอุลซาน และร้านนี้ยังเป็นร้านที่ หนุ่มย๊ง ยงฮวา CN BLUE ได้เอ่ยไว้ในบทสัมภาษณ์ด้วยว่า ร้านกาแฟโคน่าบีนส์ สาขาฮงแด นั้น เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ ในการแต่งเพลง Coffee Shop ของเขาด้วยล่ะค่ะ

เมนูในร้านก็เช่น Coffee ราคา 4300 – 8000 วอน Smoothie ราคา 5200 – 5900 วอน ไอศกรีม Gelato ราคา 3000 – 8500 วอน Cake ราคา 4500 – 5500 วอน นอกจากนี้ในบางสาขา ยังมีของคาวอย่าง สเต็ก พาสต้า และข้าวขายด้วย เช่นสาขาฮงแด ที่หนุ่มย๊งไปนั่นเอง


นอกจากนี้ เขายังแตกไลน์เป็นร้านอาหารบุฟเฟต์ชื่อว่า KONA KOMO อีกด้วยนะคะ และเพิ่งมีสาขาแรกอยู่ที่แฮอุนแด ปูซานค่ะ




แผนที่ร้าน KONA KOMO เผื่อใครไปปูซานแล้วอยากแวะชิมค่ะ (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)



ดูรายละเอียดร้าน KONA BEANS สาขาอื่นๆ เพิ่มเติม ได้ที่นี่

19 กุมภาพันธ์ 2556

Coffee Smith



Coffee Smith ร้านกาแฟที่ออกแบบได้แตกต่างจากร้านอื่นๆ เน้นไปที่ธรรมชาติอย่างไม้และปูนเปลือย ให้ความรู้สึกสัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง มาพร้อมกับสโลแกน "A Friendly Hangout"  แม้จะเปิดมาตั้งแต่ปี 2009 ตามหลังร้าน Caffe bene เพียงสองปี แต่กลับมีสาขาน้อยกว่าหลายเท่าตัว ปัจจุบันมีเพียง 28 สาขา ซึ่งนอกจากในโซลแล้วก็มีที่คยองกีโด อินชอน แดจอน อุลซาน ปูซาน  และอันยาง  (ในโซลมี 11 สาขา) ส่วนสาขาแรกนั้นอยู่ที่คาโรซูกิล ซึ่งสาขานี้ยังจัดว่าเป็นสาขาที่  “สวยที่สุด” อีกด้วย 


Photo by Nate

เมนูขายดีของร้านคือ 아이스 스미스 시리얼 라떼 (Iced Smith Cereals Latte) ราคา 6200 วอน และเมนูอื่นๆ ก็ Coffee ราคา 3000-5800 วอน Bingsu ราคา 13000 วอน Cake 4500-4800 วอน นอกจากนี้ก็มี Bread และ Waffle ด้วยค่ะ

ชมสาขาอื่น และการตกแต่งร้านที่สวยงาม ได้ที่นี่

Caffe bene



Caffe bene (คาเฟ่ เบเน่) ร้านกาแฟที่มีบรรยากาศอบอุ่นและน่านั่ง เสมือนอยู่ในห้องอ่านหนังสือหรือ Book Cafe ที่ได้นักแสดงสาว ฮันเยซึลมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ร้านนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ Gelato&Waffle ที่สุดแสนอร่อย และเป็นเมนูฮิตตลอดกาลของร้าน แม้ว่าจะเพิ่งเปิดมาได้เพียงไม่กี่ปี นับตั้งแต่ปี 2007 แต่ปัจจุบันกลับมีสาขามากมายถึง 795 สาขา จัดได้ว่า “มากที่สุด” ในบรรดาร้านกาแฟแบรนด์เกาหลีทั้งหมด  และกลายเป็น ร้านกาแฟยอดนิยมอันดับหนึ่งในปัจจุบัน ในตลาดร้านกาแฟเกาหลี โดยมีสาขาแรกอยู่ที่ชอนโฮค่ะ




ซึ่งนอกจากร้านกาแฟแบรนด์ Caffe bene แล้วนั้น ยังมีอีกสองแบรนด์ในเครือ คือร้านอาหารอิตาเลียน  black’ smith  ที่ได้คนดังทั้งสามอย่าง พัคยูชอน ซงซึงฮอน และคิมแตฮี มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับร้าน ตอนนี้มีมากถึง 90 สาขาแล้ว และอีกร้านก็คือร้านขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามที่ชื่อ December 24 ที่เพิ่งเปิดตัวสาขาแรกไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2012 ที่ชองดัมดง เขตคังนัม และเปิดสาขาที่สองตามมาที่ซาดังในเดือนตุลาคม


      




สำหรับเมนูขายดีของร้าน Caffe bene นั้น ก็คือ 아메리카노 (Americano) ราคา 3800 วอน เมนูอื่นๆ Coffee ราคา 3500-6500 วอน Smoothie ราคา 5500 วอน Bingsu ราคา 7800-10000 วอน และก็ยังมี Waffle Gelato และ Cake ด้วยค่ะ

หรือจะชมเว็บไซต์ร้าน ได้ที่นี่ ค่ะ

ถ้าถามถึงร้านกาแฟที่เป็นแบรนด์เกาหลี ที่มิน ชอบในรสชาติมากที่สุด ก็ขอเทใจให้ร้าน Caffe bene นี้เป็นอันดับหนึ่งเลยค่ะ 

COFFINE GURUNARU




ร้าน COFFINE GURUNARU (คอฟฟิน คึรุนารุ) ร้านกาแฟสีม่วงที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง จากการผสมผสานระหว่าง Coffee+Wine จนกลาย เป็น Coffine ส่วน GURUNARU (그루나루) นั้น ในภาษาเกาหลีคือชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งแทนความหมายของ Rest หรือการพักผ่อน  ร้านนี้จึงจัดว่าเป็นสถานที่แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง เหมือนสโลแกนที่ว่า "Coffee Wine and Rest" ที่นี่เปิดมาตั้งแต่ปี 2007 และมีสาขาแรกอยู่ที่ซอกชอน ตอนนี้มีทั้งสิ้น 108 สาขาแล้ว (อยู่ในโซลประมาณ 80 สาขา) และหลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาร้านกาแฟสีม่วงๆ นี้ ใช่ค่ะ ร้านนี้นั้นเป็นร้านที่ใช้ถ่ายทำละครเรื่อง 49 Days ซึ่งถ่ายทำที่สาขาแนบัง ส่วนที่ถ่ายทำละครเรื่อง Flower Boy Ramyun Shop นั้น อยู่ที่ สาขาสี่แยก COEX ค่ะ 


เมนูขายดีของร้านคือ 시나몬 슈가 카푸치노 (Cinnamon Sugar Cappuccino) ราคา 5000 วอน นอกจากนี้ก็มี Coffee ราคา 3800-5800  วอน Wine ราคา 6800 วอน (ไวน์ปั่นแบบสมูธตี้) รวมถึงมีไวน์แบบเป็นขวดขายด้วย ส่วนของหวานก็มี Honey Bread ราคา 4800-7800 วอน และ Bingsu ราคา 9800 วอน 


ชมเว็บไซต์ร้าน และฟังเพลงคลอเพราะๆ ได้ที่นี่ 
ต้องบอกว่าเพลงประกอบเว็บไซต์ของร้านนี้ มินชอบที่สุดในบรรดาทุกร้านเลยล่ะค่ะ ชอบขนาดไหน เอาเป็นว่าร้องคลอตามได้เลยล่ะ! เพราะแค่ไหนลองคลิกไปฟังดูค่ะ ^^

Angel-in-us Coffee



Angel in us Coffee  ร้านกาแฟที่มีนางฟ้าตัวน้อยๆ เป็นสัญลักษณ์ และได้ คิมซูฮยอน นักแสดงดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ของร้านด้วย ร้านนี้เขาบอกว่ากาแฟของเขานั้นเป็น "The World Best Coffee" เลยล่ะค่ะ ที่นี่ใช้เมล็ดกาแฟจากหลากหลายประเทศทั่วโลกเลย ทั้งเคนย่า แอฟริกา โคลอมเบีย บราซิล จาไมกา กัวเตมาลา และอเมริกาค่ะ

ประวัติของร้านนี้คือ เปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 2000 โดยใช้ชื่อว่า Java Coffee (คนละร้านกันกับ Java City) หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่เป็น  Angel in us Coffee ในปี 2006เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันค่ะ และมีสาขาแรกอยู่ที่ Central City และมีสาขารวมทั้งหมด 698 สาขา และเตรียมที่จะเปิดอีก 14 สาขา เร็วๆ นี้


 Photo by dkpopnews
                          

เมนูขายดีของที่นี่คือ 카라멜 카페 모카 (Caramel Cafe Mocha) ราคา 5100 วอน เมนูอื่นๆ ก็เช่น Coffee ราคา 2800 – 5500 วอน Smoothie ราคา 5300 วอน นอกจากนี้ก็มีของหวานอย่าง Honey Bread และ Bakery ด้วยค่ะ

ร้านนี้เคยเป็นสถานที่ถ่ายหนังเรื่อง Heaven's Postman ที่คิมแจจุงแสดง (ขออภัยไม่ทราบสาขา) และใช้ถ่ายทำละครเรื่อง City Hunter ด้วย ที่ สาขาควางอัน ที่ปูซานค่ะ



เข้าไปดูหน้าหนุ่มซูฮยอน หรือฟังเพลงเพราะๆ ในเว็บไซต์ ได้ที่นี่ 
มินชอบเพลงนี้มากๆ ค่ะ ฟังแล้วล่องลอย เหมือนตัวเองกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่เกาหลี แล้วมีเสียงเพลงคลอ อิอิ

A TWOSOME PLACE




ร้านกาแฟของสองเรา หรือ A TWOSOME PLACE ที่จัดว่าเป็น Dessert Cafe ด้วย เพราะที่นี่เต็มไปด้วยเค้กหลากหลายชนิด ล้วนแล้วแต่น่าลิ้มลอง และยังมีเค้กแบบปอนด์ขายด้วย  รวมไปถึงเมนูฮิตอย่างบิงซูก็มีไว้บริการ ร้านนี้เริ่มเปิดกิจการเมื่อปี 2005มีสาขาแรกอยู่ที่คยองกีโด และมีสาขาทั้งหมด 298สาขา หนึ่งในนั้นคือสาขาของพระเอกดังอย่างโซจีซบ ที่ใช้ชื่อเก๋ๆ ว่า A TWOSOME PLACE by 51k ตั้งอยู่ย่านอัพกูจองค่ะ และเมล็ดกาแฟของที่นี่นั้น ก็มาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์




ส่วนในปัจจุบันร้าน A TWOSOME PLACE ก็ได้แตกไลน์ออกไปเป็นแบรนด์ TWOSOME + COFFEE (ทูซัมพลัสคอฟฟี่) ซึ่งมีคอนเซ็ปว่าเป็น Convenience Cafe ค่ะ ตอนนี้มี 24 สาขาด้วยกัน และ หนึ่งในนั้นคือร้านของ Teddy 1YM ชื่อว่าร้าน TWOSOME+ STUDIO ตั้งอยู่ฮงแดค่ะ 

ความแตกต่างของทั้งสองแบรนด์นั้นก็คือ TWOSOME + จะเพิ่มในส่วนของเมนูของคาวเข้ามาด้วย เพื่อให้สมกับคอนเซ็ปที่ว่า "คาเฟ่แสนสะดวกสบาย" คือสะดวกสบายเพราะที่นี่เต็มไปด้วยอาหารและกาแฟนั่นเอง




เมนูขายดีของร้านก็คือ 아메리카노 (Americano) ค่ะ ราคา 3800วอน ส่วนเมนูอื่นๆ Coffee ราคา 3000 – 5800 วอน Smoothie ราคา 5200 – 5800 วอน Cake ราคา 4800 – 5500 วอน Sandwich ราคา 6000 – 6500 วอน และ Bingsu ราคา 9000 – 10500 วอนค่ะ


ชมเว็บไซต์ร้าน ได้ที่นี่ ค่ะ

18 กุมภาพันธ์ 2556

EDIYA COFFEE



EDIYA COFFEE แบรนด์ดังจากเกาหลีอีกแบรนด์หนึ่ง ที่มีอายุอานามใกล้เคียงกันกับ ร้าน  TOM N TOMS COFFEE ค่ะ เพราะเปิดไล่หลังมาไม่นานภายในปีเดียวกัน สาขาแรกนั้นอยู่ที่ชงอังแด ปัจจุบันมีสาขามากมายถึง 654 สาขา ส่วนเมล็ดกาแฟที่นี่นั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาจากแอฟริกาอย่างแน่นอน เพราะชื่อ EDIYA คือชื่อของชนเผ่าพื้นเมืองของแอฟริกาที่เชื่อกันว่า“เป็นผู้ที่ค้นพบกาแฟเป็นคนแรกของโลก” ดังนั้นบรรยากาศในร้านจึงทำให้เรารู้สึกราวกับว่า ได้นั่งจิบกาแฟที่เป็นกาแฟแบบดั้งเดิมสุดๆ ในร้านที่ทันสมัย



เมนูที่ได้ชื่อว่าขายดีที่สุดของร้านก็คือ 스위트바닐라라떼 (Sweet Vanilla Latte) ราคา 3300 วอนค่ะ ส่วนเมนูอื่นๆ ก็ Coffee ราคา 2300 – 3800 วอน Smoothie ราคา 3100 – 4200 วอน Cake ราคา 1500 –3500 วอน Waffle ราคา 2300 – 3000 วอน และ Honey bread ราคา 4500 วอนค่ะ

นอกไปจากนี้ ร้านนี้ก็ไม่น้อยหน้าค่ะ เพราะใช้ถ่ายทำละครกับเขาด้วยเหมือนกัน เรื่อง Heartstring ซึ่งถ่ายทำที่สาขาสำนักงานใหญ่แถวซอนลึงค่ะ

ส่วนจุดเด่นของร้านนี้ที่ต่างจากร้านอื่นก็คือ  ถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นๆ แล้ว ร้านนี้จัดได้ว่า กาแฟมีราคาถูกมาก เลยล่ะ

ถ้าไม่เชื่อ ก็ดูเมนูในร้าน และเช็คราคา ได้ที่นี่ เลยค่ะ แล้วจะรู้ว่า มันถูกจริงๆ นะเออ