แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เตรียมตัวเที่ยวเชจู แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เตรียมตัวเที่ยวเชจู แสดงบทความทั้งหมด

25 พฤศจิกายน 2557

บัตร M-pass Jeju บัตรโดยสารสำหรับเที่ยวเชจู


บัตรโดยสารที่ใช้เดินทางขนส่งสาธารณะในเกาหลีนั้น มีหลายแบบ หลายประเภทให้เลือก หลายคนก็คงจะรู้จักกันไปบ้างแล้ว จากเนื้อหาในบล็อกนี้ที่มินเคยเขียนอธิบายไว้โดยละเอียด แต่ส่วนมากมักจะใช้ได้ในโซล หรือเมืองใหญ่ๆ อย่างปูซาน แทกู เป็นต้น แต่คราวนี้เขามีบัตรออกใหม่ ที่สามารถใช้ที่เกาะเชจูได้ด้วยล่ะค่ะ ดีจริงๆ บัตรนี้ชื่อว่า M-pass Card (For Jeju Island)


M-pass Card  เป็นบัตรขนส่งสาธารณะที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่สามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะบนเกาะเชจูได้ โดยจะเริ่มวางจำหน่ายและเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2014 เป็นต้นไป และจะมีวางจำหน่ายที่เชจูเท่านั้น

บัตรสามารถใช้เติมเงินได้ เหมือนบัตรโดยสารทั่วๆ ไป ค่ะ และใช้สำหรับการแปะจ่ายเมื่อต้องใช้บริการรถเมล์ และรถแอร์พอร์ตบัส (ที่เกาะเชจูไม่มีรถไฟใต้ดิน) อัตราค่าโดยสารก็จะเท่ากันกับบัตรโดยสารอื่นๆ

สำหรับประเภทของบัตรจะมีดังนี้
บัตรโดยสาร 1 วัน (One-day pass) ราคา 10000 วอน
บัตรโดยสาร 2 วัน (Two-day pass) ราคา 18000 วอน
บัตรโดยสาร 3 วัน (Three-day pass) ราคา 25500 วอน
บัตรโดยสาร 5 วัน (Five-day pass) ราคา 42500 วอน
บัตรโดยสาร 7 วัน (Seven-day pass) ราคา 59500 วอน

นอกจากนี้ผู้ถือบัตรยังได้รับส่วนลดและสิทธิประโยชน์อื่นๆ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเชจูอีกด้วยค่ะ

และที่สำคัญ บัตร M-Pass นี้ไม่ได้ใช้ที่เกาะเชจูได้เท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้กับรถไฟใต้ดินในโซลได้ด้วย แต่เฉพาะสาย 1-9 เท่านั้น (สาย Bundang, Sinbundang, Incheon, Jungang, Gyengui, Kyeongchun และ Suln ไม่สามารถใช้ได้) รวมถึงสามารถใช้กับ AREX (รถไฟใต้ดินสายสนามบิน) ได้ด้วยเช่นกัน แต่เฉพาะแบบธรรมดา (Commuter) เท่านั้น แบบด่วน (Express) ไม่สามารถใช้ได้ค่ะ

สำหรับใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวเชจูด้วยแล้วล่ะก็ การมีบัตรนี้ไว้น่าจะสะดวกสบายยิ่งขึ้นค่ะ แถมยังพกกลับมาใช้ที่โซลได้อีกด้วย ไม่ต้องมีบัตรโดยสารชนิดอื่นเลย ใบนี้ใบเดียวจบ สำหรับ บัตร M-Pass นั้น สามารถซื้อได้ที่ Tourist Information Center ที่อยู่ภายในสนามบินเชจูค่ะ

Credit : ข้อมูลและภาพประกอบจาก visitkorea.or.kr

22 กันยายน 2557

ท่องเที่ยวในเกาะเชจู


การจะเดินทางในเกาะเชจูนั้น อาจจะไม่ได้สะดวกสบายอย่างในโซลหรือปูซาน เพราะไม่มีรถไฟใต้ดินไว้ให้บริการ มีเพียงแต่รถเมล์เท่านั้น ซึ่งก็มีด้วยกันมากมายหลายสาย แต่ละสายก็วิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ กันไป แต่ก็ดูแล้วออกจะเป็นอุปสรรคในการเที่ยวอยู่สักหน่อย เพราะไม่รู้ว่าต้องขึ้นสายอะไรกันนะ ด้วยเพราะเหตุนี้ หลายคนที่มาเที่ยวยังเกาะเชจู ก็จะนิยมใช้บริการ 2 อย่างในการเที่ยว นั่นก็คือ เช่ารถยนต์ขับเอง กับ เช่าแท็กซี่ให้พาเที่ยวพร้อมเป็นไกด์ในตัว

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

การเช่ารถยนต์ขับเที่ยวเอง 
ที่เกาะเชจูนั้น ไม่ยุ่งยากอะไร ขอแค่ขับรถได้ ซึ่งบริษัทที่ให้บริการเช่ารถยนต์นี้นั้น มีอยู่หลายเจ้าด้วยกันค่ะ เช่น AVIS car rental (AJ Rentacal), Kumho car rental และ Jeju car rental เป็นต้น ส่วนราคาค่าเช่า รวมไปถึงประกันภัย ก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งค่าเช่าจะมีทั้งแบบเช่าเป็นจำนวนชั่วโมง กับแบบเหมาเป็นรายวัน และรถที่มีให้เช่านั้นก็มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Van, Camping Car, หรือรถเก๋งธรรมดา ก็มีแยกย่อยไปอีกว่าจะเป็นแบบ STANDARD, PREMIUM หรือ LUXURY รวมถึงมีทั้งรถที่ผลิตในประเทศเกาหลี และรถยุโรปนำเข้าก็มี เรียกได้ว่าสามารถเลือกรุ่นของรถ ประเภทของรถ และราคาได้ ตามความมากน้อยของเงินในกระเป๋า สามารถเช็คราคาและจองได้ในเว็บไซต์ของแต่ละบริษัทได้เลย หรือจะไปติดต่อเช่าที่สนามบินก็ได้ตามแต่สะดวก

AVIS car rental  Tel : +82-64-749-3773  Websitewww.avis.co.kr
Kumho car rental  Tel : +82-64-743-8107  Website : www.kumhorent.com
Jeju car rental   Tel : +82-64-747-3301  Website : www.jejurentcar.co.kr


เอกสารที่จำเป็นต้องใช้
- พาสสปอต
- ใบขับขี่ในประเทศไทย (Local Driving License) ที่มีประสบการณ์ขับรถอย่างน้อย 1 ปี
- ใบขับขี่สากล (International Driving License)


ขั้นตอนการรับรถ
หลังจากทำการจองในเว็บไซต์แล้วนั้น ให้ปริ๊นใบจองไปยื่นพร้อมเอกสารสำคัญที่บอกไป ได้ที่เคาน์เตอร์ของบริษัทนั้นๆ ซึ่งจะอยู่ที่บริเวณชั้น 1 ของอาคารผู้โดยสารขาเข้า นั่นหมายถึงเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินเชจู และเดินออกไปยัง Baggage Claim เพื่อรับกระเป๋าแล้วนั้น ก็สามารถมองหาเคาน์เตอร์ที่ให้บริการเช่ารถได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่ก็จะตรวจเอกสารต่างๆ ของเรา และจะให้เราไปรอรถของบริษัทที่บริเวณประตูทางออก เพื่อพาเราไปยังออฟฟิศของบริษัท และทำการรับรถที่นั่น รวมถึงตอนเอารถมาคืน ก็ต้องเอามาคืนยังที่นั่นเช่นเดียวกัน

รถที่ทำการเช่ามา ก็จะมีทั้งแบบใช้น้ำมัน และแบบใช้แก๊ส LPG ซึ่งเราสามารถเลือกได้ โดยเขาจะใส่มาให้เต็มถัง เมื่อตอนเอารถไปคืน เราก็ต้องเติมกลับไปให้เต็มถังเท่าเดิมด้วย และบางบริษัทจะมีอุปกรณ์นำทาง GPS มาให้ เพื่อสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องควรรู้ก็เห็นจะมีแค่อย่างเดียวคือ ที่ประเทศเกาหลีขับรถพวงมาลัยซ้าย ซึ่งจะต่างจากที่ประเทศไทย เพราะฉะนั้นหากจะเช่ารถขับ อาจต้องตั้งสติก่อนขับกันนิดนึง


การเช่าแท็กซี่พร้อมไกด์
ที่สนามบินเชจู (Jeju International Airport) นั้น มีบริการรถแท็กซี่ให้เช่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการท่องเที่ยวภายในเกาะเชจู เรียกว่าบริการ Global Taxi หรือ Taxi Tour ค่ะ

รถแท็กซี่ที่ให้บริการจะมีสองแบบคือ General Taxi และ Jumbo Taxi (เหมาะสำหรับมาเป็นหมู่คณะ) ซึ่งคนขับรถจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง และทำหน้าที่เป็นไกด์ คอยแนะนำเส้นทางและสถานที่เที่ยว หรือพาคุณไปยังสถานที่ที่ต้องการได้ โดยคิดค่าบริการแบบเหมาชั่วโมงคือ พาเที่ยวทั้งวันรวม 8-9 ชั่วโมง แล้วแต่บริษัท

ตัวอย่างราคา
General Taxi  ราคา 150,000 วอน หากใช้บริการเกินชั่วโมงที่กำหนด ชาร์ตชั่วโมงละ 20000 วอน
Jumbo Taxi ราคา 200,000 วอน หากใช้บริการเกิน 8 ชั่วโมง ชาร์ตชั่วโมงละ 30000 วอน

ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวอย่างราคาเท่านั้นนะคะ เพราะที่สนามบินมีให้เลือกหลายเจ้า และราคาอาจแตกต่างกันออกไป สามารถสอบถามบริการนี้ได้กับเจ้าหน้าที่ที่สนามบิน หรือหยิบโบรชัวร์ที่สนามบินมาลองดูๆ เลือกๆ เอาก็ได้ค่ะ มินแนะนำว่า หากใครมีเวลาจำกัด แต่อยากเที่ยวได้หลายๆ ที่นั้น การใช้บริการแท็กซี่ไกด์น่าจะตอบโจทย์ที่สุดค่ะ

ตัวอย่างโบรชัวร์

คราวนี้ก็คงจะมีตัวเลือกในใจกันแล้วนะคะ ว่าเราจะใช้วิธีไหนในการท่องเที่ยวในเกาะเชจูแห่งนี้ แต่ถ้าใครอยากจะเที่ยวเองแบบไม่พึ่งไกด์ หรืออยากประหยัดไม่อยากเช่ารถ ก็สามารถเที่ยวเองได้ด้วยบริการขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ค่ะ แต่ต้องบอกอย่างนึงว่า หากจะเที่ยวเองนั้น ต้องมีเวลาเยอะสักหน่อย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวในเชจูนั้นมีมากมาย และแต่ละที่ก็อยู่ค่อนข้างจะห่างไกล ใช้เวลาเดินทางนานนับชั่วโมงก็มี อีกทั้งรถเมล์นั้นไม่ได้มาถี่แบบในเมืองโซลหรือปูซาน ดังนั้นการที่เราต้องใช้เวลาในการรอรถนาน รวมถึงสถานที่อยู่ไกลกัน แถมไม่มีรถไฟใต้ดิน ก็จะทำให้เราต้องใช้เวลาในการเที่ยวที่เกาะนี้หลายวันถึงจะเที่ยวได้ทั่วหรือครบค่ะ

21 กันยายน 2557

เดินทางเข้าเมืองเชจู


รู้ถึงวิธีการเดินทางไปยังเกาะเชจูกันแล้ว คราวนี้มาดูวิธีการเข้าเมืองเชจูกันค่ะ อย่างที่เคยบอกไปว่า เกาะเชจูจะมี 2 เมือง คือ Jeju City และ Seogwipo City จะเดินทางด้วยวิธีไหนและแบบไหน ก็ต้องดูก่อนด้วยนะคะว่าเราพักอยู่ที่เมืองไหน ซึ่งเมือง Jeju City เนี่ย จะเป็นที่ตั้งของสนามบินเชจูค่ะ ส่วนเมือง  Seogwipo City จะอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ และเป็นที่ตั้งของสถานที่เที่ยวสำคัญๆ อย่าง ซองซานอิลชุลบง, ซอพจิโกจิ เป็นต้น

Jeju Intercity Bus Terminal 


วิธีเข้าเมืองเชจู จากสนามบินเชจูนั้น มี 2 วิธีด้วยกันค่ะ
1.รสบัส  มีสองแบบคือ
- City Bus  ซึ่งจะเป็นรถบัสที่พาเราเข้าไปยังตัวเมืองเชจู มีด้วยกัน 10 สาย (เพิ่มเติมจากในหนังสือเล่ม 3 มาอีก 6 สถานี) และมีเส้นทางที่ผ่านดังนี้ (ตัวเลขที่วงเล็บด้านหลังคือสายรถ) *รอรถที่เกท 2


คลิกที่ภาพเพื่อขยาย


- Limousine Bus จะมีเพียงสายเดียว และจะพาเข้าเมืองซอ-กวิโพ *รอรถที่เกท 5


คลิกที่ภาพเพื่อขยาย


2.รถแท็กซี่ มี 2 แบบเช่นกันคือ
- Short-Distance TAXI (แท็กซี่ระยะใกล้) จะวิ่งไปยัง Jeju City, Aeweol, Hallim, Jocheon และ Gimnyeong
- Long-Distance TAXI (แท็กซี่ระยะไกล) วิ่งไปยัง Bukjeju County, Namjeju County, Jungmun และ Seogwipo City รวมถึงรอบนอกของตัวเมืองเชจูด้วย

สำหรับราคาก็แพงตามมาตรฐานแท็กซี่สนามบินทั่วไป (ขออภัยไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัด) ส่วนรถไฟใต้ดินไม่ต้องถามถึง เพราะที่เชจูนั้นไม่มี เนื่องจากภูมิภาคเป็นเกาะ ทำให้การเดินทางเข้าเมือง อาจจะไม่สะดวกสบายเท่าที่โซลหรือปูซาน เพราะฉะนั้น วิธีที่สะดวกและประหยัดที่สุดเลยก็คือรถแอร์พอร์ตบัสนั่นเองค่ะ

แผนผังจุดรอรถ

ซึ่งถ้าใครใช้วิธีขึ้นรถบัส ให้เดินออกนอกอาคารมารอที่เกท 2 สำหรับ City Bus (เข้าเมืองเชจู) และ รอที่เกท 5 สำหรับ Limousine Bus (เข้าเมืองซอกวิโพ) ค่ะ จะรอที่เกทไหน อยู่ที่ว่าเราจะขึ้นรถสายไหนนะคะ



ตรงนี้จะมีป้ายบอกสายรถด้วย แต่เป็นภาษาเกาหลี


บริเวณด้านหน้าของสนามบินเชจูค่ะ วันที่มินไปฝนตกนิดนึง ซึ่งเป็นเรื่องปกติค่ะ เราสามารถพบเจอฝนได้ตลอดทุกฤดูในเกาหลี เพราะที่นั่นไม่มีฤดูฝน แต่ฝนจะตกได้ตลอดค่ะ แต่ตกไม่หนักมาก ทริปเดียวกันของมิน มินเจอฝนทั้งที่จินแฮ ปูซาน เชจู และโซล เลยล่ะค่ะ เรียกว่าไปกี่รอบก็เจอทุกรอบจนชินซะละ แต่ฝนตกก็ใช่ว่าเที่ยวไม่ได้นะคะ ไว้รอติดตามอ่านกันค่ะ ^^


16 กันยายน 2557

สายการบินไปเชจู


เกาะเชจู (Jejo-do) เป็นเกาะภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลี ซึ่งอยู่ในความปกครองพิเศษแยกจากจังหวัดอื่นๆ ในประเทศ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่เน้นไปที่ภูเขาไฟ น้ำตก หน้าผา ถ้ำ และชายหาด เรียกได้ว่า ใครที่รักธรรมชาติ หรือชอบเที่ยวแนวเชิงธรรมชาติแล้วล่ะก็ เกาะเชจูเป็นสถานที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด เพราะที่นี่มีทั้งอุทยานแห่งชาติฮัลลาซาน ที่มีภูเขาไฟฮัลลา (Hallasan) หรือจะเป็นภูเขาซองซานอิลชุลบง (Seongsan Ilchulbong) ที่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดในเกาะเชจู ถ้ำที่เกิดจากธารลาวา มานจางกุล (Manjanggul) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO เป็นมรดกทางธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่น่าสนใจทั้งสิ้น ซึ่ง เกาะเชจูนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 เมืองคือ เมืองเชจู (Jeju City) และ เมืองซอ-กวิโพ (Seogwipo City)

Photo by visitkorea


สายการบินจากประเทศไทย ที่สามารถนั่งไปลงยังสนามบินเชจู (Jeju International Airport) ได้นั้น มี สายการบินไทย, สายการบิน Jeju Air, สายการบิน T’way Air, สายการบิน Korean Air และ สายการบิน Asiana  Airlines



ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องบินจากกรุงเทพ (สนามบินสุวรรณภูมิ) เพื่อไปลงยังโซล (สนามบินอินชอน) ก่อนจะนั่งรถไฟ AREX จากสนามบินอินชอน ไปต่อเครื่องที่สนามบินคิมโป ซึ่งเป็นสนามบินในประเทศ ใช้เวลารวมทั้งหมดประมาณ 10 ชั่วโมง (รวมเวลารอระหว่างต่อเครื่อง) และไม่มีบินตรงจากกรุงเทพไปยังเชจูเลย  ต้องต่อเครื่องในประเทศเกาหลีเท่านั้น


ส่วนหากจะบิน จากโซล (ขึ้นที่สนามบินคิมโป) ไปยังเชจูนั้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งนอกจากสายการบิน Korean Air และ Asiana Airlines แล้ว ยังมีตัวเลือกอื่นๆ ที่ราคาถูกกว่าคือ
- Air Busan (www.airbusan.com) วันละ 5 เที่ยวบิน
- JEJU Air (www.jejuair.net) วันละ 12 เที่ยวบิน
- JIN Air (www.jinair.com) วันละ 11 เที่ยวบิน
- EASTARJET (www.eastarjet.co.kr) วันละ 16 เที่ยวบิน
- T'way Air (www.twayair.com) วันละ 11 เที่ยวบิน
ซึ่งราคาของแต่ละสายการบินนั้น มักจะมีตั๋วลดราคาอยู่ด้วย ซึ่งบางสายการบินลดสูงสุดถึง 70% (Air Busan และ EASTARJET) สามารถเข้าไปเช็คราคาได้ที่หน้าเว็บของแต่ละสายการบินเลยค่ะ




แต่ถ้าใครแวะไปเที่ยวปูซาน แล้วอยากจะไปเที่ยวเกาะเชจูต่อนั้น ก็ไปได้ไม่ยาก เพราะสามารถบินจากปูซาน (สนามบินคิมแฮ) ไปยังเชจู โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเช่นกัน สายการบินที่ให้บริการได้แก่
- Korean Air วันละ 6 เที่ยวบิน
- Asiana Airlines วันละ 11 เที่ยวบิน
- Air Busan วันละ 11 เที่ยวบิน
- JEJU Air วันละ 7 เที่ยวบิน

มินเองก็เคยมีโอกาสได้ใช้บริการของสายการบิน Jeju Air ค่ะ นั่งจากปูซานไปเชจู ใครที่จะใช้เส้นทางเดียวกันนี้ ก็อ่านรายละเอียดด้านล่างได้เลยค่ะ

วิธีการไปสนามบินคิมแฮที่ง่ายที่สุดก็คือรถไฟใต้ดินค่ะ เริ่มจาก...ไม่ว่าจะพักอยู่ย่านไหนก็ตาม ให้ขึ้นรถไฟใต้ดินปูซานสาย 2 สีเขียว มาลงสถานีซาซัง (Sasang Station) จากนั้นต่อรถไฟ LRT สายสีม่วง ไปลงยังสถานีสนามบินคิมแฮ (Airport Station) ค่ะ นั่งไปเพียง 3 สถานีก็ถึงแล้ว แปะจ่ายด้วยบัตรทีมันนี่ หรือบัตรโดยสารอื่นๆ ได้เลยค่ะ


รถไฟ LRT จะวิ่งบนดิน ก็เลยจะเห็นวิวด้านนอกรถด้วย


เก้าอี้เป็นแบบนี้


บริเวณในรถไฟค่ะ มีเพื่อนร่วมทางประปราย ทุกคนมุ่งหน้าไปสนามบินเช่นกัน



จากนั้นพอออกจากรถไฟมา ก็เดินไปตามทาง ตามป้ายที่บอกทางไป Domestic Terminal ค่ะ จนมาถึงประตูทางออก ก็เลี้ยวไปทางซ้าย ตามป้ายไปเลย *국내 (กุกแน) = ภายในประเทศ, 국제 (กุกแจ) = ระหว่างประเทศ


พอเดินออกจากประตูมา เราก็จะเจอกับอาคารผู้โดยสารภายในประเทศแบบนี้ค่ะ


เข้าไปในอาคารแล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปยัง Departure ค่ะ ไม่ต้องกลัวงง ไม่ต้องกลัวหลง เดินตามๆ ฝูงชนไปเลย พอขึ้นไปถึงชั้นสองแล้ว ก็จะเจอเคาน์เตอร์เช็คอิน


มินเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก็ได้บอร์ดดิ้งพาสมา พร้อมที่จะออกเดินทางไปเกาะเชจู สถานที่ที่เป็นหนึ่งในฝันของมินแล้วล่ะค่ะ


และถ้าใครต้องบินไฟลท์เช้าแบบมิน ไม่ทันได้ทานอาหารเช้า ที่ด้านในก็มีร้านกาแฟ Pascucci นะคะ แวะเติมพลังตอนเช้าที่นี่กันได้


มินกับเพื่อนเลยสั่ง Iced Caramel Latte และ Iced White Chocolate Latte มาเพิ่มความสดชื่นค่ะ เพราะตื่นแต่เช้ามืดง่วงมากๆ หน้าตาของทั้งสองแก้วไม่ต่างกันเลยเนอะ ส่วนราคาก็ 5000 วอนเท่ากันค่ะ


ก็จบเรื่องของการเดินทางไปยังเกาะเชจูจากต้นทางที่ต่างกันไปแล้วนะคะ ใครที่สนใจอยากไปเที่ยว ก็รอติดตามรีวิวพากินพาเที่ยวที่เกาะเชจูนี้ได้ในครั้งต่อๆ ไป ในหัวข้อ 'มินพาเที่ยวเกาหลี (เชจู)' กันนะคะ



เนื้อหานี้อยู่ในหนังสือรวมเรื่องเล่าในทวิตเตอร์ เล่ม 3