24 กันยายน 2556

แบกเป้ท่องมาเลเซีย+สิงคโปร์ (UNSEEN in Malaysia วัดถ้ำบาตู)


อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวใน KL ที่น่าสนใจ ก็คือ วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) นั่นเองค่ะ ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ หากเบื่อความวุ่นวายในเมือง หรืออยากไปเที่ยวในที่แปลกๆ ใหม่ๆ ก็ลองมาที่นี่ดูค่ะ เดินทางไปไม่ยาก ตามมินมาชมเลยค่ะ

*เปิดทุกวัน เวลา 6:00 - 21:00 น.



เนื่องจากถ้ำบาตูนั้น อยู่ไกลจากตัวเมืองไปพอสมควร เพราะฉะนั้น การจะเดินทางไปยังถ้ำบาตูนั้น ต้องไปโดยรถไฟ KTM Comuter ค่ะ โดยจะเริ่มจากสถานี KL Sentral นั่นเอง อย่างที่บอกว่า KL Sentral นั้น คือ "ศูนย์กลางการเดินทางของเมือง KL" ใครที่ไปเที่ยวที่นี่ จะต้องได้มาแวะเวียน KL Sentral ทุกวันแน่ๆ ค่ะ

เดินเข้ามาในสถานี KL Sentral แล้ว ก็มองหาเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว KTM Comuter แบบในภาพนี้ ได้ที่บริเวณชั้น 1 เลยค่ะ 



ตั๋วต้องซื้อทีละเที่ยวนะคะ อย่างอันนี้ตั๋วขาไป ราคา 1 ริงกิต ต่อคนค่ะ (10 บาท)



จากนั้นก็มองหาป้ายทางเข้าแบบนี้ค่ะ ใหญ่ชัดเจนทีเดียว เดินผ่านเข้าช่องเล็กๆ นั่นไป โดยสอดตั๋วเข้าไปในเครื่องเท่านั้นเองค่ะ



เข้ามาแล้ว ก็เดินตามป้ายลงบันไดเลื่อนไปข้างล่างแบบนี้เลย


ลงมาก็เจอชานชาลาค่ะ



อย่าลืมดูเส้นทางจากป้ายก่อนนะคะ เพื่อความชัวร์ ว่าเราต้องรอที่ Platform ไหนค่ะ อย่างมินจะไปถ้ำบาตู ก็ต้องขึ้น Platform 3 จะเห็นได้ว่าสถานี Batu Caves นั้น อยู่สถานีสุดท้ายเลยค่ะ


ที่ชานชาลาจะมีป้ายไฟบอกเวลาปัจจุบัน และเวลาที่รถไฟจะมาถึงด้วยค่ะ วันนั้นมินไปช่วงเที่ยงๆ ค่ะ รถไฟจะมาถึงเวลา 12:24 น. และจะใช้เวลาเดินทางไปถึงถ้ำบาตูประมาณ 30 นาทีค่ะ


เนื่องจากไม่ทันได้ถ่ายรูปรถไฟค่ะ เลยมีแค่ภาพเบาะนั่งภายในรถมาให้ชม ว่าจะประมาณนี้ค่ะ



อันนี้ป้ายห้ามในรถไฟ มี "ห้ามจูบ" ด้วย อิอิ



พอมาถึงแล้วก็เดินลงบันไดตามทางไปเรื่อยๆ เลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหลง มีเพื่อนร่วมทางเยอะจ้า


จากนั้นก็จะโผล่ออกมาเจอเขาแบบนี้ค่ะ ถึงแล้ววววว


ปากทางเข้า จะมีคนอินเดียตั้งโต๊ะเพนท์เฮนน่าอยู่ ซึ่งมินเป็นคนที่ชอบเฮนน่ามากค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยจัดไปค่ะ ^^ ราคาก็มีหลายแบบตามแต่ความยากง่ายของลาย ซึ่งจะมีสมุดภาพไว้ให้เราเลือกดูเหมือนที่ข้าวสารแหละค่ะ เริ่มต้นที่ 5 ริงกิต แบบของมิน ถูกมากๆๆๆๆๆ 


ใช้เวลาเพนท์ไม่กี่นาทีก็เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ ตอนเพนท์มินต้องถอดแหวนออกก่อน เขาเห็นแหวนปุ๊บก็รีบถามเลยค่ะว่าซื้อมาจากที่ไหน มินเลยบอกไปว่าที่ประเทศไทยบ้านมินเอง ถ้าใครที่นับถือพระพิฆเนศแบบมิน เห็นแล้วจะทราบเลยว่า นี่คือ แหวนโอห์ม นั่นเองค่ะ ^^ จริงๆ มินบูชามาจากวัด เมื่อครั้งไปไหว้พระพิฆเนศองค์นอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยค่ะ


มาดูลายของเพื่อนมินกันบ้าง (มือทางขวา) ราคา 5 ริงกิตเช่นกัน ถามว่าอยู่ได้นานกี่วัน จริงๆ เขาบอกว่าประมาณ 1 สัปดาห์ค่ะ แต่มินเป็นคนเหงื่อออกเยอะ บวกกับอากาศที่นั่นร้อน เหงื่อออกมากเลยทำให้อยู่ไม่ทน แค่ประมาณ 3 วันเท่านั้นเอง ส่วนเพื่อนมินนั้นอยู่ได้ประมาณสัปดาห์นึงตามที่เขาบอกมาค่ะ ใครชอบเฮนน่าก็ไปเพนท์กันเล่นๆ ได้นะคะ ราคาไม่แพงเลยล่ะ (ถ้าข้างในจะแพงกว่าค่ะ แถมคนเยอะด้วย)


เพนท์กันเรียบร้อย ก็ไปเดินชมความงามของวัดถ้ำบาตูกันดีกว่าค่ะ ที่เรียกว่าวัดนั้น เพราะว่าที่นี่เป็นศาสนสถานฮินดูนั่นเองค่ะ และที่นี่ถึงกับได้รับการขนานนามว่า UNSEEN in Malaysia เลยล่ะค่ะ เรียกได้ว่า ถ้ามาเที่ยวที่มาเลเซียแล้ว ก็ควรจะแวะมาที่นี่เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเดินผ่านพ้นประตูทางเข้ามา จะเจอกับรูปปั้นของหนุมานเฝ้าอยู่ด้านหน้า ก็บอกแล้วว่าที่นี่มีลิงเป็นเจ้าของถ้ำค่ะ




เราไปดูบรรยากาศรอบๆ ก่อนจะขึ้นไปยังถ้ำกันค่ะ วันนั้นอากาศขมุกขมัว เพราะว่ามีฝนตกปรอยๆ ตอนที่มาถึง อยู่มาเลเซียฝนตกเป็นเรื่องปกติมากๆ ค่ะ



บริเวณด้านนอกถ้ำ จะมีนกพิราบเยอะแยะเต็มไปหมดเลยค่ะ แอบเก็บภาพมาตัวนึง


เดินมาอีกนิดนึงก็จะเจอรูปปั้นของพระขันธกุมารสีทองอร่ามแบบนี้ค่ะ รูปปั้นนี้มีความสูงถึง 42.7 เมตร และสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2549 และวัดถ้ำบาตูนี้ ชาวฮินดูก็สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่พระขันธกุมารนั่นเอง


ชาวอินเดียเขาจะเรียกพระขันธกุมารว่า Lord Murugan หรือ พระมุรุกันค่ะ ซึ่งพระขันธกุมารนี้เป็นโอรสองค์ที่สองของพระศิวะ และพระแม่อุมาปารวตี และเป็นน้องของพระพิฆเนศ ตอนกำเนิดมามีหกพระพักตร์ แต่ละพระพักตร์เป็นตัวแทนถึง ความฉลาด พละกำลัง ความร่ำรวย ชื่อเสียง ความเทียงธรรม และ พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครได้กราบไหว้และบูชาพระองค์ ก็จะได้รับพรทั้ง 6 ประการ คนอินเดียจึงมักจะมาไหว้ขอพรที่นี่ค่ะ 


เห็นบันไดสูงๆ มั้ยคะ นี่ล่ะค่ะเส้นทางที่จะพาเราขึ้นไปถึงบนถ้ำ ต้องบอกว่าสูงมากทีเดียว และบันไดนี้มีด้วยกันทั้งหมด 272 ขั้นด้วยกันค่ะ



ตอนแรกมินก็ลังเล เพราะแลดูว่าสังขารตัวเองจะไม่ไหว แต่ก็นะ ดั้นด้นมาถึงที่นี่แล้ว ไม่เดินขึ้นไปก็เหมือนมาไม่ถึงแหละค่ะ เพราะฉะนั้นจึงตัดสินใจ เอาก็เอาวะ 555555


เดินขึ้นมาได้ไม่กี่ขั้น ก็ลองหันไปถ่ายรูป จะเห็นด้านหลังของพระขันธกุมารแบบนี้ค่ะ


กลั้นใจเดินต่อมาเรื่อยๆ แล้วหันหลังกลับไปถ่ายรูปอีกครั้ง คราวนี้ได้มุมที่สูงขึ้นค่ะ มองลงไปทุกอย่างเล็กไปหมด แถมเห็นเมืองระยะไกลๆ ด้วย สวยทีเดียว


หลังจากนี้มินก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างเดียวแล้วล่ะค่ะ ไม่ได้หยิบกล้องออกมาถ่ายอะไรอีก เพราะว่าลิงวิ่งขึ้นลงบันไดกันให้ว่อน! แล้วมินก็กลัวลิงมาก >.< เดินไปกลัวไปผวาไป ตลกตัวเองสุดๆ เลยล่ะค่ะ แถมกรี๊ดดังด้วยตอนที่ลิงกระโดดมาดึงจะเอาพวงกุญแจที่ห้อยอยู่ที่กระเป๋ากล้องของมิน แนะนำว่าใครกลัวลิงแต่อยากขึ้นไป พยายามอย่าถือหรือมีอะไรที่ตัวแล้วเคลื่อนไหวไปมานะคะ ลิงชอบค่ะ

เดินขึ้นมาถึงปากถ้ำแบบเหนื่อยหอบ ขางี้สั่นไปหมด ถามว่าเหนื่อยมั้ย ตอบเลยว่ามากกกกกกกกกก ขนาดฝรั่งผู้ชายร่างใหญ่ ยังเดินไป หยุดไป หอบไปเลยค่ะ นับประสาอะไรกะมินล่ะเนอะ



พอเดินเข้าไปในถ้ำ น้ำตาจะไหลเลยค่ะ เพราะมันยังไม่สิ้นสุดเท่านี้ ยังคงมีบันไดที่จะพาเราขึ้นไปยังสถานที่สักการะอีก TT_TT




และที่ข้างบนนั้น ก็มากมายไปด้วยลิงค่ะ สารภาพว่ามินไม่ได้เดินขึ้นไปค่ะ บอกตรงๆ กลัวววว ใจไม่สู้ค่ะ เหนื่อยไม่กลัว แต่กลัวลิงนี่ล่ะค่ะ เยอะจริงอะไรจริงค่ะข้างบน เลยส่งเพื่อนขึ้นไปแทน ส่วนมินยืนรอและขอพรที่ด้านล่างแทน ^^"


เห็นน้องลิงมั้ยคะ


ระหว่างรอเพื่อนก็ถ่ายรูปในถ้ำไปเรื่อยๆ ในถ้ำนี้ก็ยังคงมีทวยเทพของฮินดูอยู่ด้วยล่ะค่ะ



พอสักการะกันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินลงกลับไปแล้วล่ะค่ะ ขาลงไมเหนื่อยเท่าขาขึ้น แต่มินก็แทบจะวิ่งเลยล่ะ เพราะกลัวลิงสุดๆ อยากไปให้พ้นจากตรงนี้ >.<



พอลงมาถึงด้านล่างได้ ก็หายใจโล่งเลยล่ะค่ะ ถ้าใครไม่กลัวลิงแนะนำว่าให้ลองมาสักครั้งนะคะ มินขอท้าให้คุณเดินขึ้นไปด้านบน 5555 หรือถ้ากลัวลิงแบบมิน ก็กลั้นใจเดินขึ้นไปดูค่ะ ให้รู้ว่า UNSEEN in Malaysia ได้ประจักษ์แก่สายตาของเราเรียบร้อยแล้ว ^^



ส่วนขากลับนั้น ก็เดินไปที่สถานีรถไฟที่เรามา แล้วก็ซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์ในภาพเลยค่ะ


ตั๋วขากลับนั้น จะราคาไม่เท่าขามานะคะ ขากลับจะราคา 2 ริงกิต (20 บาท) ต่อคน และเราก็จะนั่งกลับไปที่ KL Sentral ที่เดิมค่ะ



ครั้งหน้า ออกนอกเมืองไปเที่ยวเมืองใหม่ "ปุตราจายา" กันบ้างค่ะ

13 กันยายน 2556

Seoul Night Bus บริการใหม่เอาใจคนกลับดึก


ปกติแล้ว การเดินทางในโซลนั้นค่อนข้างจะสะดวกสบายเอามากๆ นะคะ ทั้งรถบัส (รถเมล์) รถไฟใต้ดิน ก็มีบริการทั้งวัน ตั้งแต่ประมาณตีห้า ไปจนถึงเที่ยงคืน แถมค่าบริการก็ไม่แพง เริ่มต้นที่ 1350 วอน (ประมาณ 40 บาท) ถ้าใช้บัตรทีมันนี่ลดเหลือเที่ยวละ 1250  วอน (ประมาณ 37 บาท) *ค่าโดยสารได้ปรับราคาใหม่ตั้งแต่ 27 มิถุนายน 2558 นั่งไปได้ไกลหลายสถานีเลยล่ะค่ะ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ช่วงเวลาดึกๆ ก็ยังคงไม่สะดวก เนื่องจากบริการขนส่งสาธารณะทั้งสองอย่างนั้น หมดเวลาให้บริการตอนเที่ยงคืน ขาเที่ยว หรือนักท่องราตรียามดึก ต้องอาศัยโบกแท็กซี่กลับที่พักเอา ซึ่งราคาตอนกลางคืนนั้นก็แพงแสนแพง

แต่ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2556 เป็นต้นไป หมดปัญหาเรื่องการกลับที่พักดึกๆ กับการต้องสมยอมจ่ายค่าแท็กซี่แพงๆ แล้วล่ะค่ะ เพราะทาง Seoul Metropolitan Government นั้น เขาได้เพิ่มบริการรถบัสตอนกลางคืน หรือ Seoul Night Bus เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน นักศึกษา และนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ในชื่อว่า 올빼미 버스 (โอลแปมี บัส) หรือแปลว่ารถบัสนกฮูก นั่นเองค่ะ


รถบัสนกฮูกนั้น จะใช้ชื่อที่แตกต่างจากรถบัสสายอื่นๆ อย่างชัดเจน โดยใช้ตัวอักษร "N" ที่มาจากคำว่า "Night Bus" นำหน้า แล้วตามด้วยตัวเลขค่ะ เช่น N26 ซึ่งที่หน้ารถจะมีบอกไว้ชัดเจน

Photo by seoulnavi.com

และที่ "ป้ายรถเมล์" ก็จะมีสัญลักษณ์นกฮูกและสายติดอยู่ด้วยเช่นกันนะคะ เพราะฉะนั้น หากต้องการใช้บริการ ก็สามารถดูที่ป้ายที่เราจะขึ้นได้ว่า มีสัญลักษณ์นกฮูกหรือไม่ค่ะ ถ้ามีก็แปลว่า รถบัสนกฮูกนี้ จะผ่านป้ายที่เราจะขึ้นแน่นอนค่ะ

สังเกตป้ายแบบนี้


Photo by seoulnavi.com

ซึ่งรถบัสนกฮูกนี้นั้น มีด้วยกันทั้งหมด 9 สาย โดยจะเน้นเส้นทางที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนในยามค่ำคืน อาทิ คังนัม ฮงแด ทงแดมุน ชิลลิม และจงโน โดยรถจะเริ่มให้บริการในช่วงเวลา 00:00-05:00  ทุกวัน และรถจะมาทุกๆ 30-40 นาที แล้วแต่สาย (ค่อนข้างรอนานพอสมควร)

ค่าบริการเที่ยวละ 2250 วอน สำหรับผู้ใหญ่
เด็กอายุ 13-18 ปี 2100 วอน
เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี 1500 วอน
ซึ่งสามารถแปะจ่ายด้วยบัตรทีมันนี่ได้ โดยจะได้ส่วนลดเที่ยวละ 100 วอนค่ะ
*ค่าโดยสารนี้ได้ปรับราคาใหม่ตั้งแต่ 27 มิถุนายน 2558


ส่วนสายรถบัสทั้ง 9 สายนั้น มีดังนี้ค่ะ

สาย N10 (เริ่มจาก Ui-dong ไปจนถึง Seoul Station) ผ่าน Sungshin Women’s University Station, Jongno 3-ga Station, และย่าน Dongdaemun, Namdaemun ไปสิ้นสุดที่ Seoul Station

สาย N13 (Sanggye-dong - Songpa Bus Depot) ผ่าน Cheongnyangni Station (สถานี ITX ไปเกาะนามิ), ย่าน Dongdaemun, Sinsa, Gangnam, COEX,  Jamsil และ Songpa

สาย N16 (Dobongsan Bus Depot - Onsu-dong) ผ่าน Dobongsan Station, City Hall Station, Mapo Station และผ่านย่าน Yeouido, Namdaemun, Myeongdong, Dongdaemun, Daehakro 

สาย N26 (Jungnang Bus Depot - Gangseo Bus Depot) ผ่านย่าน Hongdae, Sinchon, Jongno, Dongdaemun และ Cheongnyangni Station

สาย N30 (Gangdong Bus Depot - Seoul Station)  ผ่าน Sangildong Station, Cheonho Station, Janghanpyeong Station, ย่าน Dongdaemun และสิ้นสุดที่ Seoul Station

สาย N37 (Songpa Bus Depot - Eunpyeong Bus Depot) ผ่านย่าน Seodaemun, Jongno, Daechidong, Garak Market และ Gangnam Station

สาย N40 (Bangbae-dong - Seoul Station) ผ่าน Namtaeryeong Station, Sadang Station, Sindang Station Express Bus Terminal, ย่าน Itaewon, Namdaemun สิ้นสุดที่ Seoul Station 

สาย N61 (Yangcheon Bus Depot - Nowon Station) ผ่าน Gaebong Station, Seoul National University Station, Nambu Bus Terminal Station, Konkuk University Station, ย่าน Gangnam, Jamsil, COEX

สาย N62 (Yangcheon Bus Depot - Myeonmok-dong) ผ่าน Mokdong Station, Mapogu Office Station, Ehwa University Station, Konkuk University Station และ Dongdaemun


สำหรับรถบัสนกฮูกนี้นั้น ค่อนข้างสะดวกมากสำหรับคนที่ไปท่องราตรี หรือไปตามศิลปินดึกๆ ก็จะทำให้เดินทางกลับที่พักได้ประหยัดมากขึ้นค่ะ แต่ถึงแม้จะมีบริการรถบัสยามดึกแบบนี้ แต่ถ้าไม่จำเป็น สาวๆ ก็อย่ากลับที่พักดึกมากนะคะ เพราะแม้ว่าเกาหลีโดยเฉพาะที่โซล จะเป็นเมืองนึงที่มีความปลอดภัยค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม "ไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัย 100%" นะคะ เพราะฉะนั้น พยายามอย่ากลับดึกมาก และอย่าเดินทางคนเดียว ก็จะดีที่สุดจ้า

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Dasan Call Center. 120 

Credit : ข้อมูลและภาพประกอบจาก visitkorea.or.kr


เนื้อหานี้อยู่ในหนังสือรวมเรื่องเล่าในทวิตเตอร์ เล่ม 3