ส่งไปรษณีย์จากเกาหลีกลับมาไทย

สวัสดีค่ะทุกคน เอนทรี่นี้มาแปลก ไม่ได้มาพาเที่ยวหรือตามรอยอะไร แต่เป็นเรื่องที่มินคิดว่ามีหลายคนสงสัยและอยากรู้ เกี่ยวกับการส่งของจากเกาหลีกลับมาไทย เนื่องจากมินมีประสบการณ์ตรงที่ไปส่งของมาเช่นกัน ก็เลยจะนำรายละเอียดทั้งหมดเท่าที่รู้ มาบอกเล่าให้ฟังกันค่ะ

เนื่องจากทริปล่าสุด ถ้าจำกันได้ มินไปเที่ยวแบบแบ็คแพ็คค่ะ คือแบ็คแพ็คแบบแบกเป้ไปจริงๆ สองคนกะเพื่อนสนิท ที่เราไม่เอากระเป๋าเดินทางแบบลากไปก็เพราะว่ามินกับเพื่อนตระเวนหลายเมืองค่ะ ต้องขึ้นรถไฟ รถบัส เครื่องบินหลายรอบ และย้ายที่นอนบ่อยมาก การลากกระเป๋าจึงดูเป็นภาระยิ่ง ก็เลยเอาเป้ไปสะดวกกว่า แต่ก็ต้องมาเจอความลำบากตอนขากลับ เพราะของบางอย่างไม่สามารถยัดลงกระเป๋าเป้ได้หมด เอาล่ะสิ แล้วแบบนี้จะทำยังไง? บางคนคงเคยคิดใช่มั้ยคะว่า ถ้าช้อปปิ้งเยอะๆ แล้วเอากลับไม่หมดทำไงดี จะไปวัดดวงที่สนามบิน ก็กลัวจะต้องจ่ายค่าน้ำหนักกระเป๋าเกินแพงๆ (ราคาน้ำหนักเกินนี้นั้น อยู่ที่แต่ละสายการบินกำหนดค่ะ คิดเป็นกิโลกรัมละ) หรือจะเอาเสื้อผ้าหรือของใช้ที่ขนไป ทิ้งเอาไว้แทนไม่เอากลับ ก็แอบเสียดาย มินมีวิธีที่ดีที่สุดมาแนะนำค่ะ นั่นก็คือ "ส่งพัสดุกลับไทย"

การส่งพัสดุหรือแม้แต่จดหมายกลับมาที่ประเทศไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ ก่อนอื่นก็ต้องมองหาไปรษณีย์เกาหลีกันก่อน ซึ่งก็มีหลายที่หลายสาขา เลือกเอาที่ใกล้ที่พักหรือที่สะดวกที่สุด ซึ่งมินแนะนำให้สอบถามจากที่พักของคุณเอานะคะ ว่า Post Office ที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน ของมินนั้นพักที่ฮงแดค่ะ ไปรษณีย์ที่ใกล้ที่สุดคือสาขา Donggyo-dong ไม่ไกลจากฮงแดมากค่ะ เดินไปได้

ไปรษณีย์ที่เกาหลีสาขานี้มีขนาดเล็กๆ ค่ะ และคนเยอะพอสมควร ใช้เวลาในการรอจนส่งเสร็จประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นใครที่วาดหวังว่าจะไปส่งพัสดุในวันกลับ ก่อนจะไปสนามบินนั้น มินว่าค่อนข้างเสี่ยงไปสักหน่อย เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า วันนั้น เวลานั้น คนจะเยอะแค่ไหน ส่วนมินต้องเดินทางกลับไทยเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เลยสบายๆ ค่ะไม่ต้องรีบ มาส่งตอนบ่ายสองโมงกว่าๆ ของวันสุดท้ายที่อยู่เกาหลี เอาล่ะ คราวนี้มาดูวิธีการส่งกันค่ะ

เริ่มจากซื้อกล่องพัสดุกันก่อน กล่องพัสดุที่นี่มีให้เลือกหลายขนาด ราคาก็ตามขนาดกล่อง ต้องบอกว่ากล่องพัสดุที่นี่ไม่แพงเลยล่ะค่ะ มินเลือกกล่องล่างสุดขวามือ ราคาแค่ 1000 วอนเท่านั้นเอง (ประมาณ 32 บาท) เวลาซื้อต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์นะคะ ว่าเราต้องการซื้อกล่อง ก็สปีคอิงลิชไปเลย เจ้าหน้าที่ที่นี่พอจะสื่อสารได้ค่ะ

จากนั้นก็มาจัดแจงแพ็คของลงกล่องให้เรียบร้อย ที่นี่เขามีอุปกรณ์ไว้บริการเสร็จสรรพ ทั้งเทปกาว กรรไกร กาวแท่ง บริการตัวเองได้เลย จากนั้นก็หยิบใบส่งจากตรงเคาน์เตอร์ที่วางอุปกรณ์ ถ้าจะส่งทางเรือ หรือทางเครื่องบิน ให้หยิบใบสีเขียวๆ แบบมินนะคะ แต่ถ้าใครจะส่งแบบ EMS ก็เลือกใบที่มีตัวหนังสือ EMS ใหญ่ๆ ติดอยู่ค่ะ จะเห็นได้ว่าตอนมินมาถึง คิวที่ 194 แหน่ะ (รอประมาณ 30 คิว) อ้อ บัตรคิวนี่ไปกดเองที่เครื่องนะคะ มินกดมาก่อนเลยเพราะเห็นว่าคนเยอะ คิวยาว ยังไงก็น่าจะแพ็คเสร็จก่อนแน่ๆ แต่ถ้าคนไม่เยอะ แนะนำให้แพ็คให้เรียบร้อยแล้วค่อยกดจะดีกว่านะคะ

จากนั้นในขั้นตอนการกรอกใบส่ง มีดังนี้ค่ะ (ทั้งหมดกรอกเป็นภาษาอังกฤษได้เลย)
กรอบสีแดง - ชื่อ ที่อยู่ผู้ส่งที่เกาหลี (แนะนำให้ใส่ชื่อเจ้าของที่พัก พร้อมชื่อที่พักและที่อยู่ลงไป ตรงนี้จำเป็นต้องใส่ชื่อคนด้วยนะคะ กรอกแต่ชื่อเกสเฮ้าส์หรือโรงแรมไม่ได้ ถ้าใครไม่รู้ ก็สอบถามจากทางที่พักหน่อยก็ได้ค่ะ ว่าเราจะส่งของกลับมาไทยนะ ขอยืมชื่อที่อยู่คุณได้มั้ย อะไรแบบนี้ค่ะ)

กรอบสีน้ำเงิน - ชื่อ ที่อยู่ผู้รับที่ไทย อย่างมินส่งกลับบ้านตัวเอง ก็ใส่ชื่อที่อยู่ตัวเองนั่นเองค่ะ

กรอบสีเหลือง - ให้ติ๊กเลือกวิธีส่ง ว่าจะส่งทางเครื่องบิน (Air) หรือ ทางเรือ (Surface) มินเลือกทางเรือค่ะ เพราะค่าส่งถูกกว่ามาก แต่รอของค่อนข้างนาน แต่...เดี๋ยวไปดูตอนท้ายว่าเกิดอะไรขึ้นกับพัสดุกล่องนี้ของมิน ทำไมถึงได้ของไว

กรอบสีเขียว - ใส่รายการสิ่งของที่จะส่ง และติ๊กเลือกที่ช่อง Gift มินมี Tips นิดหน่อยก็คือ ให้ระบุไปเลยว่าเป็นของจำพวกที่ใช้แล้ว อาทิ Used clothes, Used shoes, Used bags อะไรแบบนี้ค่ะ การใช้คำว่า Used เพื่อบ่งบอกว่าเป็นของใช้แล้ว จะได้ไม่เสี่ยงกับการโดนภาษี แต่เนื่องจากของมิน เป็นของใช้แล้วเกือบทั้งหมด ก็เลยไม่กังวลเท่าไหร่ แต่ถ้าใครจะส่งจำพวกเสื้อผ้า รองเท้า ของใหม่ เครื่องสำอางต่างๆ ก็แกะซีล แกะป้ายราคาออกให้หมดนะคะ จะได้ดูเหมือนใช้แล้ว แต่ต้องบอกว่าในเรื่องนี้แล้วแต่ดวงจริงๆ ค่ะ อยู่ที่ทางศุลกากรของไทยว่าจะสุ่มตรวจกล่องไหน เกิดเปิดมาเจอสารพัดเครื่องสำอาง หรือซีดีเป็นตั้งๆ ก็เสี่ยงที่จะเสียภาษี 40% ได้นะคะ มินเลยจะแนะนำว่า ให้แบ่งของใส่กระเป๋าเดินทางกลับบ้าง แบ่งมาส่งพัสดุบ้าง ให้ปะปนกัน เอาเสื้อผ้าใส่แล้วใส่ลงกล่องไปด้วย อะไรประมาณนี้ อย่าให้เปิดมาเจอแต่ของใหม่เอี่ยมอ่อง แถมยังเป็นของที่ศุลกากรคิดว่าเราจะขนมาขายอีกด้วย ไม่งั้นเสียภาษีไม่คุ้มกันนะคะ

ส่วนกรอบสีเขียวทางขวามือ ก็ระบุจำนวนของสิ่งของลงไปด้วย พร้อมทัั้งราคาประเมินของสิ่งของในกล่อง มินก็ใส่ไปไม่ตรงกับความจริงทั้งหมดหรอกค่ะ คือขี้เกียจเขียน เพราะมินใส่ของจุ๊กจิ๊กกลับมาด้วย ที่มันเอาขึ้นเครื่องไม่ได้ มินเลยใส่แค่ Used Cloths 2 ชิ้น และ Used Shoes 3 คู่ ราคารวมประมาณ 100 US (ตรงนี้ใส่หน่วยเงินเป็น US หรือดอลล่าห์สหรัฐนะคะ) จริงๆ แพงกว่านี้มากกก เอาจริงๆ คือเป็นหมื่นบาท แต่มินกลัวใส่ราคาประเมินแพงไป เดี๋ยวศุลกากรสุ่มตรวจ เลยใส่ไปแค่นี้ คือมันมีของใหม่อยู่ด้วยไม่กี่ชิ้นน่ะค่ะ >.<

กรอบสีส้ม - ให้เลือกวิธีการส่งของคืนกลับผู้ส่ง ในกรณีที่พัสดุกล่องนี้นำจ่ายไม่ได้ มินเลือกทางเรือไปค่ะ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าประเทศของเรานั้น ไม่สามารถส่งกลับด้วยวิธีนี้ได้ ต้องส่งทางเครื่องบินเท่านั้น ก็เลยตามนั้นค่ะ ซึ่งจะว่าไปจริงๆ แล้ว ถ้าของตีกลับจริงๆ มันจะกลับไปที่เกสเฮ้าส์ถูกมั้ยคะ? และมินก็ไม่รู้ว่าถ้ามีกรณีนี้เกิดขึ้นจริงๆ ทางเกสเฮ้าส์จะต้องลำบากในการจ่ายค่าส่งแบบเรียกเก็บปลายทางให้เราด้วยรึเปล่า หรือเขาอาจจะไม่รับหรือทิ้งของไปเลย ต้องคิดเผื่อตรงนี้นิดนึง ทางที่ดีควรเลือกติ๊กช่อง Treat as abandoned (ไม่ต้องส่งคืน หรือทิ้งไปเลยนั่นเอง) ไปเลยจะดีกว่าค่ะ

กรอบสีเลือดหมู - เซ็นชื่อของเราค่ะ และอย่าลืมตรวจทานรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วนชัดเจน โดยเฉพาะชื่อที่อยู่ทั้งผู้รับและผู้ส่ง เบอร์โทรศัพท์ กรอกให้ครบเพื่อประโยชน์ของเราเองนะคะ สำหรับที่อยู่เกสเฮ้าส์หรือโรงแรมนั้น ก่อนมาไปรษณีย์ ก็อย่าลืมสอบถามมาให้เรียบร้อย ถ้าไม่รู้รหัสไปรษณีย์ ที่ไปรษณีย์เขาจะมีสมุดเล่มใหญ่ให้เปิดหาได้ค่ะ โดยเรียงตามเขต ดูได้จากบ้านเลขที่ตามที่อยู่ มินก็ไปเปิดหามาเหมือนกัน เพราะดันลืมถามลูน่า

ส่วนตรงที่ว่างไว้นั้น สำหรับเจ้าหน้าที่นะคะ เราไม่ต้องกรอก

คราวนี้มาดูกันว่า ส่งแบบไหนราคาเท่าไหร่กันบ้างดีกว่าค่ะ มินเอาตารางมาให้ดูเลย เพื่อจะได้ดูกันง่ายๆ เนอะ เริ่มจาก

1.Letter Post และ Small Packets หรือจำพวกจดหมาย และของชิ้นเล็กๆ ที่ใส่ซองได้ ซึ่งเรทค่าส่งนั้น จะดูตามโซนของประเทศที่เราอยู่ค่ะ อันนี้ประเทศไทยจะอยู่ Zone 2 ตามที่มินขีดเส้นใต้ไว้

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

มาดูราคากันค่ะ ราคาจะคิดตามน้ำหนัก เริ่มที่ ไม่เกิน 100 กรัม 1,770 วอน ไปจนถึง 2000 กรัม (2 กิโลกรัม) 14,200 วอน การส่งด้วยวิธีนี้ มินไม่ทราบนะคะว่าใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะถึง

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

2.Surface Parcel แปลตรงตัวก็คือ พัสดุที่ส่งทางภาคพื้น นั่นก็หมายถึงส่งทางเรือค่ะ ประเทศไทยจะอยู่ Zone 2 เช่นกัน

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

ส่วนราคาคิดตามน้ำหนักเหมือนกันหมดค่ะ เริ่มที่ ไม่เกิน 2 กิโลกรัม 12,200 วอน ไปจนถึงขนาดสูงสุดที่ส่งได้ (ต่อกล่อง) คือ 20 กิโลกรัม 42,500 วอน ซึ่งพัสดุของมินนั้น หนักเกือบ 4 กิโลกรัมค่ะ แปลว่ามินต้องจ่าย 15,600 วอน หรือประมาณ 500 บาท เท่านั้นเอง (เรท 0.032 ณ วันที่ไป) ระยะเวลาในการรอพัสดุ ประมาณ 50-70 วัน (เจ้าหน้าที่บอกมา) แต่เท่าที่มินทราบมา ของจะมาถึงประเทศไทยจริงๆ ประมาณ 30 วัน หรือ 1 เดือนค่ะ

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

3.EMS and Air Parcel หรือพัสดุด่วนพิเศษ กับพัสดุส่งทางเครื่องบิน สองวิธีนี้จะแพงกว่าทั้งหมด แต่ใช้ระยะเวลาที่ไวกว่า ในหมวดนี้ประเทศไทยจะอยู่ใน Zone 1 นะคะ

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

สำหรับราคาจะขอแยกเป็น

- Air Parcel ส่งทางเครื่องบิน จะเริ่มที่ ไม่เกิน 0.5 กิโลกรัม 12,500 วอน ไปจนถึง 20 กิโลกรัม 82,000 วอนค่ะ การส่งด้วยวิธีนี้ จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

- EMS พัสดุด่วนพิเศษ อันนี้เป็นวิธีที่มินไม่แนะนำเท่าไหร่ เพราะแม้ว่าจะใช้เวลาในการรอพัสดุแค่ 3-5 วัน แต่ค่าส่งก็แพงที่สุด แล้วก็แพงมากๆ เลยด้วย มินแนะนำว่าถ้ารีบ หรือไม่อยากรอของนานเกินไป ให้เลือกส่งแบบ Air Parcel น่าจะดีกว่าค่ะ

แต่ถ้าใครอยากส่งแบบ EMS ก็สามารถเข้าไปเช็คเรทค่าส่งเองได้เลยนะคะ คลิกที่นี่ ซึ่งจะมีแยกย่อยไปหลายอย่างทั้งส่งแบบเป็นเอกสาร (Document) แบบพัสดุ (Non-Document) และยังมีส่งแบบ EMS Premium อีกด้วยค่ะ เรทราคาดูที่ช่อง  Zone 1 เช่นกัน

ส่วนมินนั้น เลือกส่งแบบทางเรือตามที่บอกไปข้างต้น พอถึงคิวตัวเองแล้ว ก็เอากล่องพัสดุมาชั่งน้ำหนักที่เคาน์เตอร์ค่ะ

ไปรษณีย์ที่เกาหลีดีมากๆ เลย เพราะสามารถรูดจ่ายค่าส่งด้วยบัตรเครดิตได้ด้วย! มันเริ่ดจริงๆ ค่ะ เผื่อใครส่งของกลับไทยเยอะ แล้วกังวลเรื่องค่าส่งกลัวเงินสดไม่พอ รูดปรื้ดไปเลยจ้าาา

กล่องพัสดุของมินนั้น มีน้ำหนัก 3979 กรัม หรือ 3.979 กิโลกรัม ก็เกือบๆ 4 โล แต่เอ๊ะ! ทำไมค่าส่งถึงตั้ง 24800 วอน (ประมาณ 800 บาท) ล่ะ เรื่องนี้ต้องบอกว่า เกิดจากความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ และความไม่รู้ของมินค่ะ คือมินติ๊กในใบส่ง พร้อมแจ้งแล้วว่าส่งทางเรือ เจ้าหน้าที่ก็ถามย้ำอีกครั้งว่าทางเรือนะ (เจ้าหน้าที่พูดว่า Ship?) ในเอกสารที่มินได้กลับมาก็ไม่ได้ทำการแก้วิธีส่ง นั่นแปลว่า เจ้าหน้าที่น่าจะเลือกส่งผิด กลายเป็นส่งทางเครื่องบินให้มินแทน เพราะมินเอาราคานี้ไปเทียบกับตารางด้านบน (ที่ขีดเส้นใต้สีน้ำเงิน) จะเห็นได้ว่า ตรงกันเดี๊ย! ถามว่าทำไมมินไม่ท้วง คือก่อนไปส่ง มินไม่ได้ดูราคาไปก่อนค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่ามันจะเท่าไหร่ คือตอนนั้นรีบด้วย ก็คิดว่าเออ เท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ ยังไงก็ต้องส่งกลับอยู่ดี งานนี้มินเลยเสียเงินไปแพงกว่าที่ตั้งใจ แต่ก็ได้ผลดีกลับมาแทนตรงที่ว่า รอของแค่อาทิตย์เดียวเอง (ว่าไปก็ดีว่ารอทางเรือเนอะ)

พอส่งของจ่ายเงินเสร็จ ก็จะได้สำเนาใบส่ง กับใบเสร็จมา ก็เก็บไว้ให้ดีนะคะ เผื่อมีกรณีของหาย หรือไม่ได้รับ

ซึ่งในใบส่งของจะมีบาร์โค้ดตัวใหญ่ๆ อยู่ นี่คือเลขพัสดุของเราค่ะ ที่เราสามารถเอาไปตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้ทางเว็บ 

มินลองเอาเลขมาเช็คดู ก่อนอื่นเข้าไปที่เว็บก่อน คลิกที่นี่ จากนั้น กรอกเลขพัสดุลงไปในช่อง แล้วคลิก Search

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

มาดูสถานะกันค่ะ จากภาพจะเห็นได้ว่า มินส่งของวันที่ 7 พฤษภาคม วันรุ่งขึ้นของก็ไปถึงสนามบินเพื่อรอขนส่งต่อไป และใช้เวลา 3 วัน พัสดุก็มาถึงประเทศไทยในวันที่ 11 พฤษภาคม ก่อนที่จะใช้เวลาขนส่งในประเทศอีก 3 วัน ก็ถึงบ้านมินในวันที่ 14 พฤษภาคม เรียกได้ว่าใช้เวลารวมทั้งหมด 7 วัน หรือ 1 สัปดาห์พอดิบพอดีเลยล่ะค่ะ ใครที่ไม่อยากรอนานๆ ก็เลือกวิธีนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าส่งของไม่เยอะมากแบบมิน มินว่า 800 บาทก็คุ้มอยู่ ที่แน่ๆ ถูกกว่าไปจ่ายค่าปรับที่สนามบินแน่นอนค่ะ

คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

สุดท้ายมาดูกันว่า มินส่งอะไรกลับมาบ้างค่ะ ก็มีกางเกงยีนส์ 1 ตัว แจ็คเก็ต 1 ตัว รองเท้าผ้าใบ 2 คู่ ของมินกับเพื่อน (ทั้งหมดนี่คือของใช้แล้ว) และมีของใหม่แอบใส่มาด้วยก็คือ รองเท้าลำลอง 1 คู่ ของขวัญจากชางโอปป้า โฟมล้างหน้าที่คุณเพื่อนฝากกลับมาด้วย (แน่นอนว่าแกะซีลออก) เพราะปริมาตรเกิน 100 กรัม ถือขึ้นเครื่องไม่ได้ คือมินกับเพื่อนสะพายเป้ขึ้นเครื่องโดยไม่โหลดกระเป๋าน่ะค่ะ แล้วก็มีแชมพู 2 ขวด ของขวัญจากร้านทำผม ปริมาตรเกินเช่นกัน และของจุ๊กจิ๊กที่เอาขึ้นเครื่องไม่ได้ เพราะเป็นของมีคม อาทิ มีดโกน ที่กันคิ้ว กรรไกรตัดเล็บ ที่มินซื้อกลับมาใช้ เพราะว่าของเขาดีค่ะ >.< 

และจะบอกว่า ด้วยความที่เจ้าหน้าที่ส่งผิด ไปส่งทางเครื่องบินให้นั้น ทำให้ของมินหายไปชิ้นนึง นั่นก็คือ สเปรย์ยาชาค่ะ มินเอาไว้ฉีดกล้ามเนื้อขาตอนอยู่ที่นั่น (ก็มันใช้ดีง่ะ เลยจะเอากลับมาใช้ต่อ) ที่หายก็เพราะว่า คาดว่าเจ้าหน้าที่สแกนกล่องแล้วพบสเปรย์ ซึ่งเป็นวัตถุไวไฟค่ะ มันอันตรายไม่สามารถโหลดไปกับเครื่องบินได้ (เป็นของต้องห้ามอยู่แล้ว) เจ้าหน้าที่ก็เลยแกะกล่องแล้วเอาสเปรย์ออกไป แล้วก็ซีลให้ใหม่ค่ะ ตอนที่มินได้พัสดุนั้น ก็ยังงงเลยว่า เอาสเปรย์ชั้นทิ้งทำมายยยยยยย เลยเอะใจว่า เฮ้ย ของก็มาไวมาก ไหนบอก 50-70 วัน แถมยึดสเปรย์ชั้นอีกด้วย รึว่า.....จะส่งมาทางเครื่องบิน? พอเอาราคาที่จ่ายไปไปเช็คกับเว็บ ถึงเพิ่งถึงบางอ้อว่า อ๋อ....นี่ชั้นส่งผิด ส่งทางแอร์หรอกรึ ก็นะ ไม่ได้รู้เรื่องเล้ยยยยย มินหนอมิน เอาน่าาา ก็คิดซะว่าได้ของไวละกันเนอะ ^^

ก็จบแล้วนะคะ สำหรับเรื่องของการส่งของจากเกาหลีกลับมาไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องราวนี้จะมีประโยชน์อย่างมากกับทุกๆ คนนะคะ ด้วยความตั้งใจและใส่ใจเขียนขึ้นมา หากมีคนได้รับประโยชน์จากตรงนี้ มินก็จะดีใจมากๆ ค่ะ 

เวลาเปิดทำการไปรษณีย์เกาหลี 
จันทร์ - ศุกร์  9:00-18:00
ปิดวันเสาร์ - อาทิตย์
Website : www.koreapost.go.kr


สำหรับเส้นทางการมาไปรษณีย์ที่ฮงแดอันนี้นะคะ ใครที่คุ้นเคยย่านนี้ดีอยู่แล้ว มินก็จะบอกว่า ให้เดินไปทางถนนชินชนค่ะ เพราะไปรษณีย์จะอยู่ก่อนถึงถนนชินชนเลย แต่ถ้าใครไม่คุ้นเคยย่านนี้ ขออภัยด้วยเพราะมินอธิบายไม่ถูก มันเข้าตรอกซอกซอยเยอะ แนะนำให้ไปสาขาอื่นที่หาง่ายกว่า เช่นที่ อันกุก, มยองดงนะคะ

How to go : รถไฟใต้ดินสาย 2 สีเขียว ลงสถานีม.ฮงงิก (Hongik Univ.) ทางออกที่ 8 (หรือใครจะมาจากทางไหนก็แล้วแต่) จากทางออกนี้ให้เดินเลี้ยวเข้าถนนที่จะไปฮงแด แล้วเดินไปทางถนนเส้นที่มีร้านเนื้อย่างเยอะๆ ผ่านวงเวียน 2 ครั้ง เดินไปทางสวนสาธารณะเล็กๆ สุดทางจะเห็นซอยเล็กๆ เดินตรงไป เข้าซอยตรงไปเรื่อยๆ พอเจอแยกแรกเลี้ยวซ้าย และเดินตรงตามซอยนี้ไปจนสุดทาง เห็นร้าน CU อยู่ซ้ายมือ ไปรษณีย์จะอยู่ถัดไปขวามือ ซึ่งถ้ามองตรงไป จะเห็นถนนข้างหน้าคือถนนชินชนค่ะ

Photo by Daum Map

Map คลิกที่ภาพเพื่อขยาย