27 ธันวาคม 2560

รีวิวเกาหลี พาเที่ยววันเดย์ทัวร์ 4 ที่ใน 1 วัน กับ KKday วันเดียวก็เที่ยวได้


กลับมาอีกแล้วกับการรีวิวที่เที่ยวนะคะ หลังจากทริปเกาหลีเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาจบไป มินก็ได้ไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ที่ตัวเองยังไม่เคยไปหลายที่ รวมถึงแวะเวียนไปยังสถานที่เดิมๆ เพื่ออัพเดตข้อมูลกันด้วย วันนี้มินก็เลยจะขอเริ่มต้นพาทุกคนเที่ยวแบบ วันเดย์ทัวร์กับ KKday เที่ยวแบบ 4 ที่ใน 1 วันกันบ้าง จะสนุกสนานและน่าตามไปเที่ยวแค่ไหน มาติดตามกันได้เลยค่ะ


มินเลือกใช้บริการทัวร์ในประเทศจาก KKday ค่ะ มีจุดรับส่งอยู่ที่ ฮงแด มยองดง และทงแดมุน มินพักย่านฮงแดพอดีเลย จึงสะดวกในการขึ้นรถมากๆ รถมารับเวลา 7:20 เรียกได้ว่าต้องตื่นแต่เช้ากันเลยทีเดียว เพราะว่าวันนี้ต้องไปเที่ยวถึง 4 ที่ด้วยกัน รถที่จะพาเราไปก็เป็นรถบัสค่ะ พร้อมด้วยไกด์ 1 คน


ไกด์ของมินวันนี้ชื่อว่าเคทค่ะ สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเลย เพราะฉะนั้นถ้าไปกับทัวร์แบบนี้สบายใจหายห่วง ไม่กลัวหลงค่ะ


ทัวร์วันนี้เริ่มที่แรกคือ สวน The Garden of Morning Calm ค่ะ สวนสวยและเก่าแก่อยู่ในจังหวัดคยองกีโด ด้วยพื้นที่กว่า 30000 ตารางเมตร เป็นสวนที่เหมาะแก่การเดินเล่นพักผ่อนในยามเช้าสมชื่อมากๆ เลยล่ะ ด้วยเพราะเป็นสวนที่กว้างใหญ่มาก จึงทำให้มีหลายส่วนให้ชม มินเก็บภาพบางส่วนมาฝากกัน วันที่ไปอากาศดีมากๆ เลยค่ะ ออกจะหนาวเย็นนิดๆ แต่มีแสงแดดอ่อนๆ ทำให้อากาศกำลังดีเชียว


ช่วงที่มินไปตรงกับฤดูใบไม้ร่วงพอดี จึงทำให้ทันได้เห็นสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามมวากกกก




มาดูบริเวณภายในสวนกันบ้างค่ะ ดูร่มรื่นและสดชื่นมากๆ เดินเพลินเลย


และที่นี่นะคะ จะมีสวนดอกไม้ตามฤดูกาลด้วย อย่างช่วงที่ไปก็จะเป็นดอกเบญจมาศค่ะ แต่ถ้าใครมาในเดือนอื่นๆ ก็จะมีดอกไม้ชนิดอื่นให้ชม รวมถึงช่วงฤดูหนาวจะมีเทศกาลไฟประดับด้วย อ่านรายละเอียด  ทัวร์ให้ใช้เวลาที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถือว่าไม่มากไม่น้อย พอจะเดินถ่ายรูปสวยๆ ได้อยู่ แต่ถ้าจะเดินให้ทั่ว ก็ต้องบอกว่าชั่วโมงเดียวไม่พอจริงๆ ค่ะ



จบจากที่แรกก็ไปต่อยัง เกาะนามิ สถานที่ที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของช่วงใบไม้ร่วงเลยล่ะ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่า ที่เกาะนามิจะสวยที่สุดในฤดูนี้ เพราะเต็มไปด้วยใบเมเปิ้ลนั่นเอง มินเองเคยมาที่เกาะนามิแล้วครั้งนึงเมื่อ 6 ปีก่อน ซึ่งนับว่านานมากกกกกกกก ยังไม่มีโอกาสกลับไปอีกเลย จนกระทั่งคราวนี้ค่ะ และนับว่าสมใจมากๆ เพราะเกาะนามิของมินรอบนี้ สวยกว่าที่มาครั้งก่อนมาก เพราะมาตรงกับช่วงที่สวยที่สุดพอดีค่ะ


พอเดินทางมาถึงท่าเรือก็ต้อนรับด้วยต้นกิงโกะสีเหลืองทอง สวยมาก


ข้ามเรือเฟอร์รี่มาถึงเกาะแล้ว ไกด์ก็ปล่อยให้เราได้เดินเที่ยวอย่างอิสระประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ ก็เดินได้ทั่วอยู่เหมือนกัน เก็บภาพมาฝากเยอะเลย เข้าไปในเกาะนามิ มินก็เริ่มต้นด้วยการเดินชมต้นกิงโกะก่อนเลย สีเหลืองอร่ามงามตา



เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเห็นใบเมเปิ้ลที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีแดง เต็มไปหมดเลยค่ะ 





ใครที่ชอบถ่ายรูป ต้องไม่พลาดมุมยอดฮิตคือแนวต้นสนและต้นกิงโกะด้านใน ซึ่งคนก็จะเยอะมากๆ เลย ถ้าอยากได้รูปสวยๆ ก็ต้องหามุมและจังหวะดีๆ ส่วนมินก็ใช้ความสามารถในการช่วงชิงจังหวะ ถ่ายมาได้ประมาณนี้ >.<




มาเกาะนามิครั้งนี้ มินไม่ได้เดินไปถ่ายรูปกับรูปปั้นเบยองจุนค่ะ เพราะว่าเคยถ่ายไปแล้วเมื่อครั้งก่อน รอบนี้มาเน้นถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสี ก็เลยใช้เวลาไม่นานมาก ก่อนออกจากเกาะนามิ เดินมาเจอรูปปั้นน่ารักมากเลย แถมด้วยป้ายทักทายเป็นภาษาต่างๆ น่ารักดีค่ะ


จากเกาะนามิ ก็จะไปยังสถานที่ต่อไปที่มินรอคอยยยย นั่นก็คือ ปั่นจักรยานรางรถไฟ (Rail Bike) ที่ Gangchon Rail Park ค่ะ สวนกังชอนนี้จะอยู่บริเวณรางรถไฟ และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวเกาหลีและต่างชาติ ซึ่งนิยมมาปั่นจักรยานบนทางรถไฟชมวิวแม่น้ำบุกฮันกัง (Bukhangang) อันสวยงามกัน เส้นทางจะเริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Gimyujeong Station ไปจนถึงสถานีรถไฟ Gangchon Station ค่ะ แค่ฟังก็น่าสนุกแล้วววว ถ้าใครสนใจอยากมาปั่นจักรยานอย่างเดียว แบบไม่ซื้อทัวร์ ทาง KKday เขาก็มีตั๋วจำหน่ายนะคะ สะดวกกว่าซื้อจากเว็บเกาหลีด้วย คลิกเพื่อดูรายละเอียด


จักรยานที่ว่า จะเป็นจักรยานแบบพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับขี่บนทางรถไฟเท่านั้นค่ะ จะมีทั้งแบบที่นั่งได้ 2 คน และนั่งได้ 4 คน ซึ่งทางไกด์จะเป็นคนจัดที่นั่งให้เราเองนะคะว่าได้แบบไหน ส่วนมินได้ที่นั่งแบบสี่คนค่ะ ก็เลือกนั่งหน้าเลย เพราะอยากได้ภาพวิวสวยๆ ^^


วันที่ไป อากาศดีมากค่ะ ทำให้การปั่นไม่เหนื่อยและไม่ร้อนจนเกินไป กำลังสบายๆ ลมพัดเย็นๆ กับแดดอ่อนๆ ถ้าใครอยากมาบ้าง มินแนะให้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือใบไม้ร่วง น่าจะเหมาะสมที่สุดค่ะ เพราะนอกจากอากาศจะสบายไม่หนาวจัดและไม่ร้อนเหงื่อตกแล้ว บรรยากาศโดยรอบของธรรมชาติยังสวยอีกด้วย อย่างช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็จะเห็นวิวของใบไม้เปลี่ยนสีตามแนวยอดเขา และก็มีดอกหญ้าริมทางให้ชมด้วยค่ะ



และไม่ใช่แค่ปั่นจักรยานชมวิวอย่างเดียวนะ ระหว่างทางยังมีกิมมิคแอบซ่อนไว้ภายในอุโมงค์ตลอดทางอีกด้วย แต่จะเป็นอะไรต้องลองไปกันดูค่ะ ซึ่งทำให้กิจกรรมท่องเที่ยวกลางแจ้งแบบนี้ สนุกสนานขึ้นมากเลยล่ะ


แต่ถ้าใครสนใจไปช่วงฤดูหนาว ก็ต้องบอกว่าเตรียมเครื่องแต่งกายและใจให้พร้อม เพราะกิจกรรมกลางแจ้งแบบนี้ อากาศหนาวสุดขั้วเลยล่ะ แต่ก็แลกมากับบรรยากาศสุดโรแมนติกแบบนี้นะคะ


ใครที่กลัวว่าปั่นจักรยานแบบนี้จะเมื่อยหรือเหนื่อย บอกเลยว่าไม่เลยค่ะ เพราะเส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นทางราบเรียบ หรือลาดลงเล็กน้อยทำให้ปั่นได้ง่าย ออกแนวปั่นเพลินๆ ด้วยซ้ำ ส่วนตัวมินชอบมาก ยิ่งถ้ามากับกลุ่มเพื่อนนะ สนุกสุดๆ บอกเลย เส้นทางการปั่นจักรยานจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดพักจะยาวประมาณ 6 กิโลเมตร และใช้เวลาในการปั่นราวๆ 40 นาทีค่ะ ซึ่งเมื่อถึงจุดพักรถ (จุดสิ้นสุดการปั่นจักรยาน) ก็จะมีเวลาได้นั่งพักชมวิวสักพัก วิวสวยทีเดียว



จากนั้นเราก็รอรถไฟที่ให้บริการรับส่งฟรีเพื่อนั่งต่อไปยังสถานี Gangchon Station ตามที่ไกด์นัดแนะมากันค่ะ เพราะบริการปั่นจักรยานที่ทัวร์จัดมาให้นี้จะเป็นการปั่นแบบเที่ยวเดียว ไม่ใช่แบบไป-กลับ ซึ่งถ้าใครมาเองก็จะมีทั้งแบบเที่ยวเดียวและไป-กลับให้เลือกนะคะ และสำหรับรถไฟที่จะพาเราไปยังสถานีนั้น ก็จะหน้าตาแบบนี้ค่ะ


ออกจากสถานีรถไฟกังชอน รถบัสก็พาเราไปยังสถานที่สุดท้ายของวันนี้ นั่นก็คือ Petite France หมู่บ้านฝรั่งเศส นั่นเองค่ะ ที่นี่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี เพราะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาตลอด เป็นหมู่บ้านฝรั่งเศสเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยอาคารสไตล์ฝรั่งเศส ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและทะเลสาบ และบรรยากาศสไตล์ฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม



เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่สุดท้ายของทัวร์ จึงทำให้มาถึงในช่วงเย็นๆ ใกล้ค่ำแล้ว ก็เลยได้เห็นหมู่บ้านฝรั่งเศสในอีกบรรยากาศนึงที่มีไฟประดับยามค่ำคืน ต่างจากครั้งก่อนๆ ที่เคยมาค่ะ ทัวร์ให้เวลา 1 ชั่วโมงในการเดินเที่ยว ก็ถือว่าพอดีๆ อยู่นะคะ เพราะสถานที่ไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก เดินถ่ายรูปเล่นๆ สักพักก็ได้เวลากลับโซลแล้วล่ะค่ะ



สำหรับใครที่จะมาเที่ยวหมู่บ้านฝรั่งเศสในช่วงฤดูหนาวนี้ ที่นี่มีเทศกาลไฟประดับให้ชมด้วยนะคะ อ่านรายละเอียด ก็จะมีการเปิดไฟให้ชมเยอะกว่าตอนที่มินไปมา เรียกได้ว่าจัดเต็ม ถ้าใครจะไปเที่ยวช่วงนี้ มินว่าก็สวยไปอีกแบบค่ะ


แล้วทัวร์ 1 วันของมินก็สิ้นสุดลง รถบัสของทัวร์จะพาเรากลับถึงโซลประมาณ 19:30 และจอดส่งตามจุดรับส่งต่างๆ ส่วนมินเองก็ถึงฮงแดราวๆ สองทุ่มค่ะ เป็นจุดสุดท้าย นับว่าเป็นการเที่ยว 1 วันที่คุ้มค่ากับเวลามากๆ ส่วนตัวมินประทับใจนะคะ เพราะว่ามันสะดวกในการเดินทางมากเลย ไม่ต้องเสียเวลาในการต่อรถ หรือนั่งรถจากที่นึงไปอีกที่นึงที่ค่อนข้างไกลจากกัน ไม่ต้องกลัวหลง แถมไม่เหนื่อยด้วย เพราะขึ้นรถไปก็หลับรอได้เลย มินว่าทัวร์แบบนี้ เหมาะมากสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวน้อย ต้องการประหยัดเวลา และอยากเที่ยวแบบไม่เหนื่อยนัก ที่สำคัญที่สุดเลยคือไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางอีกด้วยค่ะ


ใครอยากจะตามรอยมินไปเที่ยวแบบเดินทางไปด้วยตัวเอง ก็สามารถเสริชหาข้อมูลการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ จากในบล็อกนี้ได้เลย แต่ถ้าสนใจอยากไปเที่ยวแบบวันเดย์ทัวร์ กับ KKday แบบนี้บ้าง ก็สามารถคลิกไปดูรายละเอียดได้ที่นี่เลยค่ะ >> http://bit.ly/2SKy9VM อย่าลืมใส่โค้ด SEOULCAFE5 ตอนจองด้วยนะคะ เพื่อรับส่วนลด 5% ไปเลยจ้า

22 พฤศจิกายน 2560

วันเปิดให้บริการสกีรีสอร์ท ปี 2017-2018


ตอนนี้หิมะที่เกาหลีเริ่มตกแล้ว และหลายคนคงเริ่มที่จะแพลนไปเที่ยวเกาหลีในช่วงฤดูหนาวกัน กิจกรรมที่สำคัญในฤดูนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นการไปเล่นสกีที่สกีรีสอร์ท และสกีรีสอร์ทที่เกาหลีนั้นก็มีมากมายหลายที่เลยค่ะ เพราะเป็นกิจกรรมที่คนเกาหลีนิยมกันมากๆ ซึ่งแต่ละที่ก็มีระยะเวลาในการเปิดให้บริการในแต่ละปีแตกต่างกันไป มินเลยเอาตารางการเปิดให้บริการสกีรีสอร์ทต่างๆ ของปี 2017-2018 มาฝากกัน เพื่อที่จะได้วางแผนเที่ยวกันได้ถูกต้องค่ะ



วันเปิดให้บริการสกีรีสอร์ท ปี 2017-2018

สกีรีสอร์ทในจังหวัดคังวอนโด
1. Phoenix Park (보광 휘닉스 파크) เปิดให้บริการตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2017 - 21 มกราคม 2018 **หลังจาก 21 มกราคมเป็นต้นไป ลานสกีจะปิดเนื่องจากใช้เป็นสถานที่หลักในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว พยองชาง 2018
2. Yongpyeong Resort (용평리조트)  เปิดให้บริการตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2017 เป็นต้นไป
3. High 1 Resort (하이원리조트) เปิดให้บริการตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2017 - 25 มีนาคม 2018
4. Daemyung Vivaldi Park (대명비발디파크) เปิดให้บริการตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 - ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2018
5. Alpensia Resort Ski (알펜시아) **ลานสกีไม่เปิดให้บริการ เนื่องจากเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว พยองชาง 2018
6. Elysian Gangcheon (강촌 엘리시안) เปิดให้บริการตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 - ต้นเดือนมีนาคม 2018
7. Welli Hilli Park Snow Park (웰리힐리파크 스노우파크) เปิดให้บริการตั้งแต่กลางเดือน พฤศจิกายน 2017 - ต้นเดือนมีนาคม 2018
8. Oak Valley Snow Park (오크밸리 스키장) เปิดให้บริการตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 - ต้นเดือนมีนาคม 2018

ทั้งนี้ วันที่เปิดให้บริการรวมถึงวันสิ้นสุดการให้บริการของแต่ละสถานที่ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้นะคะ นี่เป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น สามารถเช็คข้อมูลอัพเดตได้ตามเว็บไซต์ของสกีรีสอร์ทแต่ละแห่ง ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างเลยค่ะ


เว็บไซต์ของสกีรีสอร์ท


นอกจากนี้ ยังมีสกีรีสอร์ทที่อยู่ใกล้ๆ โซล และเดินทางไปง่ายกว่าอีกหลายที่ กับสกีรีสอร์ทในจังหวัดคยองกีโด ที่สามารถตามไปเที่ยวกันได้ ตามนี้ค่ะ



สกีรีสอร์ทในจังหวัดคยองกีโด
1. Yongin Yanggi Pine Resort (용인양지파인리조트)  เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2017 - ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2018
2. Jisan Forest Ski Resort (지산 포레스트 리조트 스키장)  เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2017 - ต้นเดือนมีนาคม 2018
3. Konjiam Resort (곤지암 리조트)  เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2017 - ต้นเดือนมีนาคม 2018
4. Bears Town Ski Resort (베어스타운)   **วันที่ยังไม่แน่นอน
5. Namyangju Star Hill Resort (남양주스타힐리조트)  เปิดให้บริการตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 - ต้นเดือนมีนาคม 2018


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://english.visitkorea.or.kr/enu/ATR/SI_EN_3_6.jsp?cid=1976359


Credit : ข้อมูลและภาพประกอบจาก visitkorea.co.kr

20 ตุลาคม 2560

รีวิวเกาหลี พาเที่ยวหมู่บ้านโบราณชอนจู (Jeonju Hanok Village) กินพิบิมบับต้นตำรับ


ในเดือนตุลาคมของทุกปี ที่หมู่บ้านโบราณชอนจู (Jeonju Hanok Village) เมืองชอนจู จ.ชลลาบุคโด จะมีงานเทศกาลประจำปีค่ะ นั่นก็คืองาน  Jeonju Bibimbap Festival หรือเทศกาลพิบิมบับที่เราคุ้นเคยนั่นเอง ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากมายสนใจไปงานนี้กัน หรือแม้แต่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล หมู่บ้านแห่งนี้ก็เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีเลยล่ะ อย่างมินเองก็เคยได้ไปที่นี่สองครั้งค่ะ แต่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล ก็เลยจะเอาภาพบรรยากาศและรีวิววิธีไปให้อ่านกัน 


มินเอาบรรยากาศของหมู่บ้านมาให้ชมกันยาวๆ ไปก่อนนะคะ ส่วนวิธีเดินทางค่อนข้างยาว จะเล่าตอนท้ายละกันค่ะ หมู่บ้านโบราณชอนจู (Jeonju Hanok Village) อยู่ในเมืองชอนจู และมีบ้านโบราณที่เรียกว่า 'ฮันอก' อยู่ร่วมๆ 800 หลัง ที่ยังคงเก็บรักษาและอนุรักษ์ไว้ เพื่อรักษาเสน่ห์และประเพณีอันเก่าแก่ของเกาหลีเอาไว้ จนได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองชอนจู


ภายในหมู่บ้านมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ได้ทั้งวัน บ้านโบราณที่นี่เป็นบ้านสไตล์เกาหลีแบบดั้งเดิม ที่มีขอบหลังคาเป็นเอกลักษณ์ เดินเล่นที่นี่ก็จะได้บรรยากาศเกาลี๊เกาหลีสุดๆ ไปเลยล่ะ




อาคารบ้านเรือนต่างๆ ก็ถูกดัดแปลงให้เป็นร้านค้า และตกแต่งอย่างสวยงาม น่ารัก







ร้านเช่าและขายชุดฮันบกก็ด้วย



ใครมาเที่ยวที่นี่ จะเช่าชุดฮันบกมาใส่ถ่ายรูปสวยๆ ก็ได้นะ ชาวเกาหลีที่มาเที่ยวนิยมเช่าชุดใส่กันเยอะเลยล่ะ




มาดูของกินของที่นี่บ้างดีกว่า บอกเลยว่ามากมายยยยยยยย ใครมาเที่ยวนี่แนะนำให้เดินเล่นเดินชิมขนมไปเรื่อยๆ นะ เพลินดี


ไดฟูกุสตรอเบอร์รี่ อร่อยดีเหมือนกันค่ะ


ทัคคัลชี หรือไก่ย่างเสียบไม้ สตรีทฟู้ดยอดฮิต ที่สำคัญของโปรดมินเลย แถมร้านนี้มีชีสยืดดดดดสุดๆ อร่อยมากมายดาวล้านดวง


อันนี้ร้านชีสย่างค่ะ เมืองชอนจูเป็นเมืองนึงที่มีชีสจำหน่ายเยอะ เหมือนเป็นแหล่งผลิตหลักๆ ทำนองนั้น ชีสย่างนี่อร่อยดีนะ แต่คนเกาหลีจะแปลกอย่างค่ะ ชอบกินหวานคาวปนกัน อย่างในภาพนี่คืออาจุมม่าราดซอสบลูเบอร์รี่มาให้ด้วย! ขุ่นพระ จริงๆ ชีสย่างมันอร่อยนะ แต่จะอร่อยกว่าถ้าไม่มีซอสบลูเบอร์รี่ มันเข้ากันมั้ยยยยยยยยย


น้ำหวานเรนโบว์ ใส่ขวดไล่สีสวยๆ แบบนี้ ต้นกำเนิดคือที่นี่แหละค่ะ ก่อนจะฮิตมากกกกก จนลามไปถึงโซล ปัจจุบันก็น่าจะเลิกฮิตละ 555555


สเต็กมือถือร้าน W Hand Steak ก็มีนะ หรือจริงๆ กินในโซลก็ได้ >.< แต่อร่อยนะ ใครยังไม่เคยไปลองกัน ในโซลสาขาเยอะมาก


ไอศกรีมทิรามิสุอันโด่งดังก็มี แต่คนละร้านกับในโซล แอบคิดว่าอร่อยน้อยกว่าในโซลนิดนึง แต่ให้เยอะกว่า และโอปป้าคนทำน่ารัก ให้อภัย 5555555



เดินถ่ายรูปไป ชิมขนมและอาหารข้างทางไป บรรยากาศก็เพลินๆ ดีนะคะ มีอะไรน่ารักๆ ให้ถ่ายรูปตลอด





อันนี้เป็นร้านขายของเล่นและขนมแบบย้อนวัย น่ารักดีเหมือนกัน


ร้านขายของที่ระลึกก็เยอะนะ แต่ไม่ได้ถ่ายมาเลย >.< ถ่ายมาแค่พวกรองเท้าเกาหลีแบบสมัยก่อน เห็นมันน่ารักดีค่ะ ซื้อเป็นของฝากเก๋ดีนะ


ถ้าเดินเล่นจนท้องเริ่มหิวของหนักแล้วล่ะก็ มาถึงถิ่นพิบิมบับจะไม่ลองกินได้ยังไง มินแนะนำร้านนี้เลยค่ะ อร่อยมากกกกกกกกก แถมไม่แพงเท่าร้านอื่นด้วย ยิ่งร้านที่อยู่ต้นๆ ถนนจะแพงมากเลย แต่ร้านนี้อยู่แอบๆ นิดนึง แต่รับรองถูกและอร่อยค่ะ ชื่อร้าน 현대옥 (ฮยอนแดอก)



บรรยากาศในร้าน ร้านมีขนาดใหญ่นะคะ โต๊ะเพียบ



นอกจากเมนูพิบิมบับแล้วเขาก็มีอย่างอื่นนะ


ส่วนพิบิมบับที่นี่ ราคาปัจจุบันคือ 10000 วอนค่ะ (ประมาณ 300 บาท) อาจจะดูแพงถ้าเทียบกับร้านทั่วๆ ไปในโซล แต่ถ้าเทียบกับที่นี่แล้ว มินว่าถูกกว่าร้านอื่นค่ะ ที่สำคัญอร่อยมากกก ดูหน้าตาสิ น่ากินมั้ย เครื่องครบมาเต็มเลยล่ะ ใครอยากลองพิบิมบับแบบดั้งเดิมของเมืองชอนจูนี่บอกเลยต้องมาลองนะ ซึ่งพิบิมบับแบบดั้งเดิมนั้น จะใส่ชามทองเหลืองแบบนี้ ไม่ใช่ชามหิน และใส่ไข่แดงไม่สุก เพื่อให้คลุกผสมกับข้าวร้อนๆ ข้างล่างค่ะ บอกเลยว่าฟินมวากกกกกกกกกกกก



ทุกโต๊ะจะมีสาหร่ายห่อวางไว้ แกะทานได้ฟรีเลยนะคะ เอามาห่อข้าวแบบนี้ อร่อยเหาะมากอะ!


อันนี้เครื่องเคียง กินแกล้มกัน เพลินดีค่ะ แนะนำเลยว่าอย่าลืมมาลองเด็ดขาด!


ส่วนพิกัดร้านอยู่ตรงนี้ค่ะ อยู่หลังกำแพงในภาพ จุดที่มีรถลากนี้หาไม่ยาก อยู่ถนนเส้นหลักเลย และเป็นจุดที่คนจะมาถ่ายรูปกันเยอะ รับรองว่าหาง่ายแน่นอนจ้า


ก็นับว่าที่นี่เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่ามาเที่ยวกันนะคะ แม้ว่าจะนั่งรถนานจากโซลสักหน่อย แต่ก็สามารถใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่นี่ และหมดไปกับการเดินเล่น ถ่ายรูป กินของอร่อยได้ แบบที่ไม่น่าเบื่อ (จะเบื่อก็ตรงนั่งรถนานนี่แหละ) แต่ถ้าใครคิดว่า เวลาเดินทางไม่ใช่ปัญหา ก็อยากแนะนำให้ลองมากันสักครั้ง ยิ่งถ้ามาเที่ยวในช่วงเทศกาลพิบิมบับแล้วนั้น จะคึกคักเป็นพิเศษ แถมได้ชิมพิบิมบับมากมายด้วย แต่ถ้าใครไม่มีเวลามาช่วงนี้ ก็หาโอกาสเหมาะๆ แล้วนั่งรถมาเที่ยวกันค่ะ ^^


คราวนี้มาดูวิธีเดินทางกันนะคะ จริงๆ แล้วมีหลายวิธีมากในการเดินทางมาที่ Jeonju Hanok Village นี้ สามารถอ่านละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ส่วนมินจะเขียนอธิบายถึงวิธีที่มินเคยมาก็แล้วกันนะ เริ่มจากวิธีแรก คือ ใช้บริการรถบัส Jeollabuk-do Shuttle Bus อ่านเพิ่มเติม ซึ่งในตอนนี้บริการเต็มหมดแลวในช่วงเทศกาลพิบิมบับนะคะ แต่ในวันอื่นๆ ยังสามารถเข้าไปกดจองกันได้ สำหรับจุดขึ้นรถนั้น จะอยู่ที่บริเวณหน้าดิวตี้ฟรีแถวควางฮวามุนนะคะ ตรงบริเวณนี้จะเป็นจุดจอดรถบัสมากมาย เพราะฉะนั้นเพื่อความชัวร์ อย่าลืมถามก่อนว่าใช่รถคันที่เราจะไปรึเปล่านะคะ อย่างบริการของ  Jeollabuk-do Shuttle Bus จะเป็นคันนี้ค่ะ


จะมีเจ้าหน้าที่รอตรวจสอบรายชื่ออยู่ เราก็เข้าไปแจ้งชื่อที่ใช้จองไว้ได้เลยนะคะ พร้อมเอกสารการจองที่ปริ๊นไปจากบ้าน พอเช็คเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นรถจับจองที่นั่งได้เลยค่ะ เราจะใช้เวลาโดยสารรถบัสนี้ไปถึงหมู่บ้านโบราณชอนจูประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งค่ะ พอมาถึงแล้วรถจะมาจอดยังที่จอดรถบริเวณนี้ ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก และเวลาขึ้นรถกลับ (สำหรับคนที่จองตั๋วมาแบบไป-กลับ) ก็ต้องกลับมาขึ้นรถที่นี่ ให้ตรงตามเวลาด้วยนะคะ เพราะถ้าช้าเพียง 1 นาที รถจะไม่รอค่ะ แนะนำว่า อย่าเดินเที่ยวเพลิน คอยดูเวลา และเผื่อเวลาในการเดินกลับมาที่รถด้วย ให้มาถึงก่อนสัก 15-20 นาทีก็จะดีค่ะ


จากนั้นก็เดินตรงไปตามทางข้างหน้าเลยนะคะ หรือเดินตามๆ เขาไปก็ได้ เดินมาจนเจอถนนแบบนี้ จะเริ่มเห็นหลังคาบ้านโบราณแล้วใช่มั้ยคะ ก็เดินเลี้ยวซ้ายและเดินต่อไปเรื่อยๆ เลย



เดินมาจนเห็นสะพาน ก็ข้ามสะพานนี้ไปค่ะ พอข้ามไปแล้ว ก็จะถึงหมู่บ้านเลย



วิวสวยๆ ตรงสะพาน



อีกวิธีนึงที่มินเคยมา ก็คือรถบัสธรรมดาค่ะ วิธีนี้ค่ารถจะแพงกว่าด้านบน แต่ยืดหยุ่นในเรื่องของวันและเวลาเดินทางมากกว่า สำหรับคนที่ไม่อยากทำอะไรตามตารางเวลา และอยากจะไปเที่ยวในช่วงวันอื่นๆ ที่ไม่มีบริการรถของชอนจู วิธีนี้เริ่มจากนั่งรถไฟใต้ดินสาย 3 ไปลงที่สถานี Nambu Bus Terminal Exit 5


ออกมาแล้วเดินเลี้ยวขวาไปตามอาคารแบบนี้ค่ะ


เลี้ยวมาจะเจอประตูทางเข้าอาคาร ก็เข้าไปเลยจ้า


ซื้อตั่วได้ที่เคาเตอร์เลยนะคะ สามารถเลือกเที่ยวรถได้ ตารางเวลารถดูได้ในสถานีเลยค่ะ แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะไป 'ชอนจู'


เจ้าหน้าที่จะให้เราดูที่จอเพื่อเช็คนะคะ ว่าจุดหมายปลายทางถูกต้อง คำว่าชอนจูในภาษาเกาหลีเขียนแบบนี้นะคะ '전주' มินเลือกเที่ยวรถคือ 11:00 และในจอบอกว่ารอที่ชานชาลา 7 ค่ารถบัสเที่ยวละ 12700 วอนต่อคน มินไปสองคนก็ 25400 วอน เมื่อข้อมูลทุกอย่างถูกต้อง ก็ให้เจ้าหน้าที่ออกตั๋วได้เลยค่ะ **ปัจจุบันค่ารถเปลี่ยนเป็นเที่ยวละ 12800 วอน



เสร็จแล้วได้เวลารถใกล้ออก ก็เดินออกไปรอที่ชานชาลา 7 ได้เลย


รถของเราหน้าตาแบบนี้ค่าาาาา


ได้เวลารถออก ก็ขึ้นรถและยื่นตั๋วให้คนขับ ตั๋วจะถูกฉีกออกไปส่วนนึงค่ะ


เบาะนั่งในรถก็จะประมาณนี้ ปรับเอนได้ นั่งสบายอยู่เหมือนกันนะคะ มินนั่งหลับยาวเลยจ้าาาา อ้อฝั่งที่มินนั่งคือเบาะคู่นะคะ แต่ไม่ได้ลุกขึ้นถ่าย เกรงใจคนบนรถ


ผ่านไปสามชั่วโมงก็มาถึงสถานีรถบัส Jeonju Intercity Bus Terminal แล้วค่ะ เดินออกมาหน้าอาคาร ก็เลี้ยวไปทางซ้าย และเดินไปทางตึกในภาพ


ป้ายรถเมล์ที่เราต้องนั่งรถต่อไปยังหมู่บ้านนั้น จะอยู่ตรงข้ามตึกนี้ค่ะ หรือใครจะนั่งแท็กซี่จากตรงนี้ไปก็ได้นะไม่ว่ากัน บอกคนขับได้ว่าไป 'ชอนจูฮันอกมาอึล' (전주한옥마을)


มาดูป้ายรถเมล์กันหน่อยดีกว่า ว่าเราต้องไปยังไง จากที่มินอ่านดูแล้ว สายที่เราไปได้ก็คือ 72 และ 79 ค่ะ


และจากจอมอนิเตอร์ที่ป้าย บอกว่า สาย 79 กำลังจะมาถึงในอีก 8 นาที


เพราะฉะนั้น มินจะไปสาย 79 นี่ล่ะค่ะ มาดูเส้นทางกัน ตรงนี้อาจลำบากนิดนึงเพราะมีแต่ภาษาเกาหลี แต่มินทำรายละเอียดมาให้เรียบร้อย ดูรูปไปพร้อมๆ กันเลยนะคะ จากจุดที่เรารอรถอยู่นั้นจะเป็นตัวหนังสือสีแดงชื่อว่าป้าย 시외버스터미널 (Intercity Bus Terminal) ส่วนป้ายที่เราจะไปลงนั้นชื่อเป็นภาษาเกาหลีคือ 전동성당 / 한옥마을 (Jeondong Cathedral / Hanok Village) ก็จะนั่งไปทั้งหมด 8 ป้ายด้วยกันค่ะ



นั่งรถมาประมาณ 20-25 นาทีก็ถึงที่หมาย ลงรถเมล์มาแล้ว ก็เดินไปทางขวา เดินไปจนเห็นโบสถ์ไกลๆ ตรงนั้นคือทางเข้าหมู่บ้านค่ะ


ข้ามถนนไปฝั่งเดียวกับโบสถ์ และจะเห็นป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้าน Jeonju Hanok Village แบบนี้ค่ะ เลี้ยวไปโลด


เลี้ยวมาก็เจอหมู่บ้านเลย จะแวะถ่ายรูปที่โบสถ์ก่อนก็ได้นะ ซึ่งทางเข้าทางนี้จะคนละฝั่งกับที่เรามาด้วยรถบัสชอนจูด้านบนนะคะ บรรยากาศในภาพจะแห้งๆ หน่อย เพราะตอนนั้นมินมาช่วงปลายเดือนมีนาคมค่ะ ส่วนขากลับก็เดินไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านที่เราเดินเข้ามา ขึ้นสาย 72 หรือ 79 เหมือนเดิม กลับไปลงที่สถานีรถบัส และต่อรถบัสกลับโซลได้เลยค่ะ



ก็จบรีวิวพาเที่ยว Jeonju Hanok Village แล้วนะคะ ค่อนข้างจะอธิบายวิธีเดินทางยาวทีเดียว ไว้เป็นแนวทางสำหรับคนที่สนใจไปเที่ยวกัน ยิ่งช่วงนี้บรรยากาศน่าเดินและสวยเป็นพิเศษ เพราะใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ก็อย่าลืมหาโอกาสเหมาะๆ แล้วตามไปเที่ยวกันนะคะ ^^