24 สิงหาคม 2556

แบกเป้ท่องมาเลเซีย+สิงคโปร์ (จิบกาแฟ+กินข้าวที่ OLD TOWN WHITE COFFEE)


หากถามว่ามาเยือนมาเลเซียแล้วนั้น มีร้านไหนที่ควรแวะไปชิม คงต้องตอบว่าร้าน OLD TOWN WHITE COFFEE อย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะเป็นร้านกาแฟชื่อดังของมาเลเซีย ที่มีสูตรกาแฟเฉพาะเป็นของตนเอง แถมยังเปิดมายาวนาน แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ และความนิยม ไปพร้อมๆ กัน


OLD TOWN WHITE COFFEE เป็นร้านกาแฟสัญชาติมาเลเซียแท้ๆ เป็นร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย (กาแฟในภาษามาเลย์ เรียกว่า Kopi) ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 1999 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Ipoh มีสาขาทั้งหมด ณ เดือนสิงหาคม 2556 คือ 224 สาขา อยู่ในมาเลเซียทั้งสิ้นประมาณ 180 สาขา ซึ่งหากินง่าย เพราะมีอยู่ทั่วไป ทั้งในห้างรวมถึงที่สนามบิน ส่วนในสาขาที่ต่างประเทศนั้น มีอยู่ที่สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และจีน ในส่วนของอาหารได้เริ่มเปิดให้บริการในปี 2005 เป็นต้นมา

สาขาที่มินจะพาไปชิมนั้น คือสาขา Brickfields ค่ะ อยู่ชั้นล่างของตึกโรงแรม My Hotel ใกล้กันกับสถานี KL Sentral ถ้าจะมองอีกมุมนึง ก็จะเห็นเป็นแบบนี้ค่ะ


 สาขาอื่นๆ นั้นมักจะตกแต่งแบบร่วมสมัย แต่ที่สาขานี้ จะยังคงความคลาสสิกเอาไว้ ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าไปนั่งในร้านกาแฟสมัยก่อน (เบาๆ)




การจะไปจะมาสาขานี้ก็ไม่ยากค่ะ ร้านนี้จะอยู่ใกล้กันกับสถานี KL Sentral ที่เราคุ้นเคย เดินออกจากสถานีไปยังถนนใหญ่ แล้วจะมองเห็นธนาคาร Public Bank อยู่ข้างหน้า ให้ข้ามถนนไปฝั่งนั้นเลยค่ะ


จากในภาพ จะมีป้ายบอกทางไปทางขวาเพื่อไปยังสถานีโมโนเรล แต่เราจะเดินตรงไปไม่เลี้ยวไปทางนั้นค่ะ เพื่อไปยังโรงแรม My Hotel ที่อยู่ถัดไปข้างหน้า 

ขอแทรกตรงนี้นิดนึง ตรงจุดนี้ล่ะค่ะ ที่เพื่อนมินเจอคนสติไม่สมประกอบชกเข้าที่แขนขณะเดินสวนกันค่ะ โดยที่เพื่อนไม่ทันระวังตัว โชคดีที่เธอคนนั้นแค่ชกแล้วเดินหนีไป ไม่ได้ทำอันตรายอะไรมากกว่านี้ ยังไงก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ ผู้หญิงคนนั้น จากรูปพรรณสัณฐาน น่าจะเป็นแขกมาเลย์ค่ะ ผิวคล้ำแบบคนแขก ผมสั้น ตัวเล็ก ผอม แต่งกายมอซอ สะพายถุงผ้าใบใหญ่ๆ ค่ะ มองผ่านๆ ไม่ดูเหมือนคนสติไม่ดีนะคะ ดูเหมือนคนใช้แรงงานประมาณนั้นค่ะ เพื่อนเลยไม่ทันระวัง ก็เอามาเตือนกันไว้จ้า



เดินมาเพียงนิดเดียวก็จะเจอโรงแรม My Hotel ร้านกาแฟจะอยู่ชั้นล่างของโรงแรมนั่นเองค่ะ



เข้ามาในร้านก็หาที่นั่งก่อนเลย ร้านนี้เวลาสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มก็ตาม ต้องเดินไปสั่งที่เคาน์เตอร์นะคะ ที่นั่นจะมีเมนูอาหารวางไว้อยู่ สั่งเสร็จก็จ่ายเงินตรงนั้นเลย แล้วพนักงานจะนำอาหารหรือเครื่องดื่ม มาเสิร์ฟให้เราที่โต๊ะเองค่ะ


มาดูกันว่ามินสั่งอะไรมาทาน...White Coffee Freeze 8.3 ริงกิตค่ะ Freeze ของที่นี่ก็หมายถึง Frappe หรือ กาแฟปั่น นั่นเอง ส่วนของเพื่อนมินสั่ง Mocha White Coffee 5.3 ริงกิตค่ะ เราสั่ง Kaya Butter Toast ราคา 3.9 ริงกิต มาทานคู่กันด้วย


กาแฟรสชาติใช้ได้ค่ะ รสชาติแปลกกว่าที่เคยทานมาจากที่ไหนๆ มีความแตกต่าง แต่น่าสนใจค่ะ


หน้าตาของขนมปังปิ้ง ที่เรียกว่า "คายาโทส" ค่ะ เป็นขนมปังปิ้งกรอบๆ ทาด้วยเนยและสังขยาแบบฉบับของชาวมาเลย์ ที่คนละแบบกับสังขยาของบ้านเรา รสชาติก็โอเคค่ะ แปลกๆ ดี ขนมปังกรอบดีจริงเชียว แต่ไม่ได้อร่อยจนถูกใจมินอะไรมากมายค่ะ แค่มาลองสักครั้ง ก็น่าจะพอแล้ว


นอกไปจากกาแฟ และขนมปัง ที่ร้านก็ยังมีอาหารขายควบคู่กันไปด้วย มินมาที่ร้านนี้สองครั้งค่ะ แต่มาทานคนละอย่าง เลยได้มีโอกาสลองชิมอาหารด้วยเหมือนกัน ไปดูหน้าตากันค่ะ จานแรกของคุณเพื่อน  Signature Nasi Lemak Chicken ราคา 10.5 ริงกิต นาสิเลอมักของร้านนี้ จะกินคู่กับไก่ทอด ไข่ดาว ข้าวเกรียบ ถั่ว และปลาฉิ้งฉ้างที่ขาดไม่ได้ แต่จะไม่ได้ราดน้ำแกงเหมือนร้าน miss kwan's จะมาในรูปแบบพริกแกงแทน ซึ่งนาสิเลอมักนั้น มันจะแล้วแต่สูตรใครสูตรมันค่ะ จะมีการพลิกแพลงไปได้หลายๆ แบบ แต่จะคงความคล้ายคลึงเอาไว้ จากที่ได้ลองชิม ก็โอเคค่ะ ไก่ทอดอร่อยดี แต่มินกลับชอบสูตรของร้าน miss kwan's มากกว่า เพราะมินไม่ชอบทานอะไรแห้งๆ มันฝือคอ การมีน้ำแกงราดลงไปด้วยนั้น มันทำให้การทานรู้สึกอร่อยกว่าค่ะ



ส่วนมินก็เลือกสั่งซิกเนเจอร์ของร้านเช่นกัน นั่นก็คือ Signature Asam Laksa นั่นก็คือลักซานั่นเองค่ะ ราคา 8.9 ริงกิต แต่ลักซาที่ร้านนี้ จะแตกต่างกับร้าน miss kwan's ชัดเจน เพราะรสชาติของน้ำแกง จะออกไปทางเปรี้ยวๆ คล้ายน้ำยำ มากกว่าน้ำแกงกะทิค่ะ ส่วนตัวมินชอบที่ร้าน miss kwan's มากกว่า (อีกแล้ว) เพราะร้านนั้นรสชาติจัดจ้านกว่าค่ะ จัดจ้านในที่นี่ไม่ได้หมายถึงเผ็ดนะคะ แต่หมายถึง มันจัดจ้านไปด้วยรสชาติที่หลากหลายรวมกันแล้วมันลงตัวอะ แต่ถ้าใครอยากลองชิมของร้าน OLD TOWN ก็ไม่ผิดกติกา อาจจะชอบก็ได้นะคะ เพราะรสนิยมคนเราต่างกันอ่ะเนอะ ^^




สำหรับเครื่องดื่มนั้น คุณเพื่อนสั่ง Teh Tarik แก้วละ 4.3 ริงกิต Teh ในภาษามาเลย์ก็คือชานี่ล่ะค่ะ ออกเสียงว่า "ที" เหมือนภาษาอังกฤษ ในรูปก็แก้วไกลๆ นั่นล่ะค่ะ ชาของที่นี่จะสีออกน้ำตาลอ่อนเหมือนไมโล โอวัลติน คล้ายๆ ชาทางภาคใต้บ้านเรา ส่วนรสชาติจะออกไปทางจืดๆ ไม่หวาน และไม่เข้มค่ะ


ส่วนมินสั่ง Lemon Pepsi เห็นมันแปลกดี แล้วสรุปมันก็คือ เป๊บซี่ใส่มะนาวตามชื่อเด๊ะเลย 555555 แก้วนี้ 4.8 ริงกิต รสชาติก็ปกติค่ะ เป๊บซี่ที่มีรสอมเปรี้ยวจากมะนาวเล็กๆ ก็สดชื่นดี แต่รสชาติไม่ได้แปลกอะไรค่ะ แปลกที่เมนูมากกว่า ว่ามีทำไม? 5555555


สรุปทั้งสองมื้อนี้รวมกันจ่ายไปทั้งสิ้น 48.75 ริงกิต รวม Vat 6% แล้ว และร้านนี้ไม่คิดค่า Service Charge ด้วยค่ะ ดีจริงๆ



ขอเล่าเรื่อง "นำแข็ง" ของที่มาเลเซียกับสิงคโปร์หน่อยนะคะ คือน้ำแข็งมักจะไม่ใส่มาเต็มแก้วแบบบ้านเรา ทั้งที่อากาศบ้านเขาก็ร้อนแทบไม่ต่างจากไทย (แต่ช่วงซัมเมอร์ สิงคโปร์ร้อนกว่ามากค่ะ) ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะคนมาเลย์นั้น จะมีทั้งแขก และคนจีน เป็นประชากรส่วนมาก ปนๆ กัน แล้วคนจีน เขาจะไม่ค่อยชอบทานน้ำเย็นกันค่ะ มันเลยเหมือนเป็นวัฒนธรรมว่าคนไม่นิยมทานน้ำเย็น หรือน้ำแข็งกันสักเท่าไหร่ ประมาณนี้ อันนี้มาจากคำบอกเล่าของรุ่นพี่ที่เคยไปอยู่ที่มาเลเซียมาน่ะค่ะ 

ส่วนที่สิงคโปร์ ที่ให้น้ำแข็งน้อย ก็เพราะว่า "มันแพงค่ะ" น้ำ และน้ำแข็งที่สิงคโปร์จะแพง เพราะสิงคโปร์ไม่มีแหล่งน้ำจืดเป็นของตัวเอง ต้องนำเข้าน้ำเปล่ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่นมาเลเซียค่ะ (ซึ่งที่มาเลเซียน้ำขวดจะราคาพอๆ กับที่ไทย ในขณะที่ที่สิงคโปร์จะแพงมาก) ก็เป็นข้อมูลที่มินได้รับรู้มานะคะ ถ้าผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยนะคะ 

และถ้าใครอยากจะลองซื้อกาแฟ 3 IN 1 ของร้านนั้น ก็สามารถซื้อได้ที่ร้านทุกสาขาเลยนะคะ มินสอบถามพนักงานในร้าน เขาบอกว่ากาแฟของเขาเป็นสูตรเฉพาะของทางร้านที่ไม่เหมือนที่อื่น และไม่มีขายที่ไหน ร้านค้า หรือในซุปเปอร์มาเก็ตก็ไม่มี หากจะซื้อต้องซื้อจากที่ร้านเท่านั้นค่ะ เขาว่าอย่างนั้นนะมินก็เลยจัดมาเบาๆ คือ กาแฟและชา อย่างละกล่อง ไม่สามารถแบกได้มากไปกว่านี้แล้ว >.< 

กาแฟมีหลายสูตรค่ะ ผสมเฮเซลนัท คาราเมล อะไรแบบนี้ แต่มินไม่ค่อยชอบ เลยเลือกสูตรธรรมดา Classic มาแทน กล่องละ 10 ริงกิต มี 10 ซอง ซองจะใหญ่มากค่ะ เทียบแล้วนน.เท่ากับกาแฟซองของเบอร์ดี้ สองซองครึ่ง! แต่แนะนำว่า เห็นซองใหญ่แบบนี้ เวลาชงอย่างกนะคะ ต้องชงทั้งซองเลย ในปริมาณน้ำหนึ่งแก้วกาแฟไซส์ปกติ ไม่อย่างนั้น มันจะ "จืดสนิท" ค่ะ รวมถึงชา (White Tea) ด้วยเช่นกัน ต้องชงในปริมาณเดียวกันค่ะ เทหมดซองเท่านั้น น้ำน้อยๆ ซึ่งชากล่องนึงจะมี 8 ซองค่ะ ราคา 10 ริงกิตเท่ากัน แต่ถ้าใครชอบดื่มกาแฟดำ ก็มีนะคะ กล่องละ 7 ริงกิตเท่านั้นเอง


สำหรับร้าน OLD TOWN นั้น ถ้าใครจะมาลองทานสักครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องมาสาขานี้ก็ได้นะคะ เว้นว่าคุณต้องนั่งรถมาที่ KL Sentral พอดี ก็จะสะดวกหากจะแวะทานที่สาขานี้ค่ะ ซึ่งสาขานี้นั้น เขา "เปิด 24 ชั่วโมง" ด้วยล่ะค่ะ แถมมี Free Wifi ด้วยจ้า

ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ ก็มาลองชิมกันดูนะคะ



Address : No. 1, Tingkat Bawah, Jalan Tun Sambathan 4, 50470 Brickfields, Kuala Lumpur.
Tel : 03-2273-9876
Open from : 24 ชั่วโมง
Payment Terms : Cash, Credit Cards

23 สิงหาคม 2556

แบกเป้ท่องมาเลเซีย+สิงคโปร์ (ร้าน J.CO DONUTS)


J.CO DONUTS&COFFEE เป็นร้านโดนัทเจ้าดังของอินโดนีเซีย เจ้าของคือบริษัท Johnny Andrean Group เปิดตัวครั้งแรกในปี 2005 สาขาแรกอยู่ที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนจะขยายสาขาออกไปยังต่างประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งในปัจจุบันมีด้วยกันทั้งสิ้น 4 ประเทศ คือ จีน (เมืองเซี่ยงไฮ้ 2 สาขา), สิงคโปร์ (4 สาขา), มาเลเซีย (5 สาขา) และล่าสุดคือที่ฟิลิปปินส์ ที่เปิดทีเดียว 13 สาขา


แม้ว่าในมาเลเซียจะมี 4 สาขา แต่ในเมืองหลวงอย่าง KL กลับมีแค่สาขาเดียว คือที่ห้างพาวิลเลี่ยน (PAVILION) ค่ะ ซึ่งจะอยู่ที่ชั้น 1 

การจะมาที่ห้างพาวิลเลี่ยนนั้นก็ไม่ยาก ห้างพาวิลเลี่ยนตั้งอยู่ที่ย่านบูกิต บินตัง อ่านเส้นทางการมาย่านนี้ได้ที่นี่  พาวิลเลี่ยนเป็นห้างหรู ขนาดใหญ่ ที่เป็นสวรรค์ของนักช้อป เพราะมีสินค้าหลากหลายแบรนด์ให้เลือก รวมถึงแบรนด์ดังของมาเลเซียอย่าง VINCCI ก็อยู่ที่ด้วยด้วยเหมือนกัน (ชั้น 3)


หากเดินเข้ามาภายในตัวห้างแล้ว เราจะอยู่ที่ชั้น 3 พอเข้ามาจะเป็นแบบนี้


จากนั้นให้เดินลงบันไดเลื่อนไปสองชั้น เพื่อไปยังชั้น 1 ค่ะ


ที่นี่จะมีบอร์ด Directory บอกไว้ทุกชั้น (มีทุกห้าง) ใครจะหาร้านไหน ก็มาดูที่นี่ได้นะคะ มีอยู่ทุกๆ ชั้นเลย


ซึ่งพอลงมาถึงชั้น 1 แล้ว ให้เดินไปทางศูนย์อาหาร Food Republic ร้านจะอยู่ก่อนถึง Mercato Supermarket แต่ถ้าใครลงบันไดเลื่อนมาจากทางฝั่งซ้ายมือของห้าง ก็จะมาโผล่ที่หน้าร้าน J.CO เลย ส่วนมินลงตรงกลางๆ ห้างค่ะ เลยต้องเดินหานิดหน่อย

มินเอา Floor Plan มาให้ดูนะคะ จะได้เดินหากันง่ายขึ้น ร้าน J.CO จะอยู่ตรงดาวสีแดง เลขที่ตั้งร้านคือ Lot 1.05.00 ซึ่งเลขที่ร้านนี้ จะมีติดไว้ที่หน้าร้านทุกร้าน อยู่มุมบนของหน้าร้าน และจะเรียงลำดับไล่ๆ ตัวเลขกันไป ก็ลองเดินหาตามนี้ก็ได้ค่ะ และหากใครอยากลองทานอาหารมาเลเซียร้าน Miss Kwan's ที่มินเคยรีวิวไป ที่นี่มีร้านใหญ่คือ Madam Kwan's อยู่ด้วยค่ะ เผื่อใครไม่ได้ไปที่ห้างซูเรีย แวะทานที่นี่ก็ได้ ร้านจะอยู่ตรงดาวสีเหลือง ใกล้บันไดเลื่อนตรงกลางห้างเลย ตั้งอยู่ที่ Lot 1.16.00 ค่ะ


มาถึงร้านแล้ว เข้าไปดูบรรยากาศ และการตกแต่งร้านกันค่ะ ร้านมีขนาดกลางๆ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ มีโต๊ะนั่งรองรับลูกค้าเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องกลัวที่นั่งจะเต็ม




สามารถสั่งโดนัทและเครื่องดื่มได้ที่เคาน์เตอร์ พร้อมจ่ายเงินเลยนะคะ เจ้าหน้าที่จะถามชื่อเรา เพื่อเอาไว้ขานเรียกให้มารับเมนูที่สั่งไว้ เมื่อเสร็จค่ะ


มาดูกันดีกว่าว่ามินสั่งอะไรบ้าง มาทานกันสองคน สั่งเครื่องดื่มและโดนัทคนละชิ้น ปรากฏว่าที่นี่ หากซื้อเครื่องดื่ม+โดนัท 1 ชิ้น จะได้โดนัทรสออริจินัล (Glazy Donut) ฟรี 1 ชิ้นทันทีค่ะ เพราะฉะนั้นมินกับเพื่อนก็เลยได้ฟรีมาสองชิ้นค่ะ อิ่มเลยค่ะ ชนิดที่ว่าวันนั้นตอนเย็นไม่ต้องทานข้าวกันเลย เพราะจุกมาก >.<


มาดูโดนัทใกล้ๆ กัน อันซ้ายมือคือ Cheezy Rich ของคุณเพื่อน ราคา 3.5 ริงกิต ส่วนอันขวาของมินค่ะ Tira missu หรือ ทิรามิสุนั่นเอง แต่เขาตั้งชื่อให้ดูน่ารักๆ ว่า "ทิรามิสยู" ราคา 2.5 ริงกิต โดนัทที่นี่จะราคาอยู่ที่ชิ้นละ 2-3.5 ริงกิต ประมาณนี้ค่ะ (20-35 บาท) ก็ไม่แพงมาก และเขาจะใส่กล่องแบบนี้มาให้ แม้ว่าเราจะทานที่ร้านก็ตาม




ดูชีสสิคะ มันเยอะสมชื่อจริงๆ ด้านบนเป็นชีสเค็มๆ มันๆ ด้านในเป็นไส้ครีมนุ่มๆ ที่อัดแน่นมาแบบทะลัก กัดทีไส้ปลิ้นค่าาาา มินลองชิมแล้ว ก็อร่อยดีค่ะ แต่ทานเยอะเลี่ยนน่าดู



อันนี้ทิรามิสุ มินไม่ได้ถ่ายไส้ข้างในมาให้ดูนะคะ เนื่องจากกินเพลินค่ะ อิอิ โดนัทนุ่มอร่อยดีค่ะ หวานพอสมควรเลย ใกล้เคียงกับคริสปี้ครีม แต่คุณเพื่อนมินบอกว่า แป้งจะนุ่มกว่าหน่อย สำหรับมินก็ถือว่าโอเค มินไม่ชอบทานอะไรที่หวานมากไป ถ้าทานชิ้นเดียวก็พอได้ แต่ถ้าสองชิ้นจะเริ่มเลี่ยนแล้ว ส่วนออริจินัลรสชาติก็โอเคอยู่ค่ะ ถ้าถามรสชาติโดยรวม ก็ให้ผ่านนะ แต่จะอร่อยที่สุดในโลกหล้าตามที่คนไทยเคลมๆ กันไว้มั้ยนั้น มินว่ามันคงไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ (หมายเหตุ มินไม่ชอบคริสปี้ครีมเพราะมันหวาน เจโคก็อยู่ในระดับเดียวกันคือ อร่อยดี แต่หวานไปหน่อย ปกติมินทานแต่ Daddy Dough ค่ะ เฉพาะรสกาแฟหรือทิรามิสุเท่านั้น เพราะไม่หวานมากจนเกินไป)


มาดูเครื่องดื่มกันบ้างดีกว่า มินสั่ง Frappe Caramel White Cream แก้วละ 11.5 ริงกิต ส่วนของคุณเพื่อนลืมถ่ายมาค่ะ เพื่อนสั่ง Frappe Cappuchino Avocado Mocca Cream ราคา 12 ริงกิต เครื่องดื่มก็ราคาปกติ เหมือนร้านกาแฟบนห้างในไทยค่ะ มื้อนี้มินจ่ายไปทั้งหมด 31.25 ริงกิต (รวม Vat 6%) ค่ะ ได้โดนัทฟรีมาสองชิ้น คุ้มๆๆๆ


รสชาติก็โอเคนะคะ อาจไม่ถึงกับอร่อยมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ และก็พลาดไปนิดที่สั่งคาราเมล เพราะหวานไปสำหรับมิน (อีกแล้ว) ส่วนของเพื่อน เป็นมอคค่าผสมอะโวคาโดค่ะ รสชาติแปลกๆ ดี โดยรวมก็ถือว่าร้านนี้ใช้ได้นะคะ ความสำคัญที่ควรมาลองไม่ได้อยู่ที่ว่ามันอร่อยมากจนต้องมา แต่มันเป็นเพราะมันมีร้านเดียวใน KL ค่ะ และที่บ้านเราก็ยังไม่มี มันเลยดูพิเศษ มินก็เลยมาชิม 555555 


ใครที่เป็น Donuts Lovers ก็น่าจะถูกอกถูกใจ เพราะตอนนี้อาจจะเริ่มเบื่อคริสปี้ครีมแล้วเนอะ ลองมาเปลี่ยนรสชาติ เปลี่ยนบรรยากาศที่ร้าน J.CO DONUTS กันดู ส่วนจะอร่อยมากน้อยแค่ไหน อยู่ที่คุณตัดสินค่ะ ทิ้งท้ายด้วยสโกแกนร้านที่มินชอบมาก "Nothing is sweeter than the togetherness we share" ไม่มีอะไรที่จะหวานไปกว่า การที่เราได้แบ่งปันร่วมกัน



Address : Pavilion Kuala Lumpur 168 Jalan Bukit Bintang, Bukit Bintang, 55100 Wilayah Persekutuan Kuala Lumpur
Tel : 03-2141-7761
Open from : 10:00 - 22:00 (เปิดปิดตามเวลาห้าง)
Payment Terms : Cash, Credit Cards

แบกเป้ท่องมาเลเซีย+สิงคโปร์ (บูกิตบินตัง...แหล่งช้อปในมาเลเซีย)


มีคนขอมาว่าให้แนะนำย่านช้อปปิ้งในมาเลเซียให้ที มินก็จัดให้ค่ะ เพราะว่ามันอยู่ในย่านเดียวกับที่มินไปพักพอดี แต่อย่าถามถึงที่พัก หรือให้รีวิวนะคะ เพราะเกสเฮ้าส์ที่มินไปพักนั้น (ย่านบูกิตบินตัง) มันไม่ดีเอาเสียเลยค่ะ ดีแค่ราคาถูก สภาพก็เหมือนห้องเช่าในไทยคืนละไม่กี่ร้อยนั่นล่ะค่ะ ก็เลยนะ...ข้ามไปเนอะ 55555 อ้อ...ลืมบอกไปว่า ที่พักที่มาเลเซียและสิงคโปร์นั้น ไม่ว่าจะเป็นเกสเฮ้าส์ หรือโรงแรมก็ตาม บางที่จะให้เราจ่าย "ค่ามัดจำห้อง" ตอนที่เข้าพักด้วยนะคะ เป็นค่าประกันความเสียหายภายในห้องนั่นเอง และเงินในส่วนนี้เราก็จะได้คืนตอนเช็คเอาท์ค่ะ ส่วนจะเรียกเก็บเท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่ที่ค่ะ อย่างมินก็เจอไป 50 ริงกิต (500 บาท) ค่ะ

แหล่งช้อปในมาเลเซียนั้น ก็มีอยู่ไม่กี่ที่ค่ะ ที่แรกที่จะเอ่ยถึงก็คือย่านบูกิต บินตัง ที่อยู่ใจกลางเมือง KL เป็นย่านที่เจริญที่สุด และรายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าหรูๆ ร้านค้า ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ต่างๆ ให้ขาช้อปได้กระเป๋าฉีกกัน


การจะเดินทางมาย่านบูกิตบินตัง นี้นั้น ไม่ได้ยากเย็นค่ะ แต่จะลำบากนิดนึงเพราะต้องนั่ง LRT สายสีแดง มาลงสถานี KL Sentral (KJ15) หรือสถานี DangWangi (KJ12) หรือนั่ง LRT สายสีเหลือง ลงสถานี Hang Tuah (ST3) นั่งสายไหนมาก็ได้ เพื่อมาต่อโมโนเรลยังสถานีที่เอ่ยไปทั้งหมด ไปลงยังสถานี Bukit Bintang (MR6) อีกทีค่ะ เว้นว่าใครพักอยู่ในย่านที่สามารถนั่งโมโนเรลมาได้เลย อันนั้นก็สะดวกไป ส่วนมินแค่เดินออกจากที่พักมาไม่ไกลก็ถึงค่ะ

มินจะยกตัวอย่างสำหรับคนที่มาเส้นทางสายสีแดง แล้วมาลงสถานี KL Sentral (KJ15) นะคะ ว่าจะต่อสายโมโนเรลได้ยังไง

จากในอาคารของ KL Sentral ให้เดินกลับลงไปด้านล่างตรงชั้นใต้ดินที่จอดรถบัสตอนเราเข้าเมืองมานั่นเองค่ะ จากป้ายจะมีบอกไว้ชัดเจนว่า Monorail ให้เดินลงไป แบบนี้ค่ะ



พอเดินลงมา ก็จะเจอกับท่ารสบัสที่เรานั่งมาตอนเข้าเมือง จำได้มั้ยคะ เดินตามป้ายแบบนี้ไปเลย


จากนั้นก็เดินตามทางแบบนี้ไป เพื่อไปยังถนนใหญ่ค่ะ


พอมาถึงถนนใหญ่แล้ว ให้ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งฝั่งตรงข้ามจะเป็น Public Bank แบบนี้ค่ะ พอข้ามมาแล้ว ก็เดินไปทางขวามือตามลูกศรชี้เลย แล้วเดินตามทางไปเรื่อยๆ ค่ะ ซึ่งจะมีลูกศรบอกตลอดทาง ก็จะพาเราไปถึงสถานีโมโนเรลได้ไม่ยากค่ะ อ่านวิธีการเดินทางด้วยโมโนเรล


และจากตรงธนาคาร Public Bank นี้นั้น ถ้าเดินตรงไป ก็จะพาเราไปยังร้านกาแฟ OLD TOWN สาขาแรกในมาเลเซียได้อีกด้วยล่ะค่ะ

จากนั้นพอถึงสถานีโมโนเรล KL Sentral (MR1) แล้ว ก็นั่งไปลงยังสถานี Bukit Bintang (MR6) ได้เลยค่ะ นั่งไปเพียง 5 สถานีเท่านั้น ใช้เวลาไม่นาน ค่ารถ 2.1 ริงกิต จะว่าไปนั่งโมโนเรลก็ได้ชมวิวดีนะคะ เพราะรถไฟจะวิ่งบนฟ้า มินเอาภาพวิวจากบนรถโมโรเรลมาฝากนะคะ  เบลอนิดนึงเพราะถ่ายตอนรถวิ่ง จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของ KL เราจะมองเห็นตึกเปโตรนาส และ KL Tower แทบจะทุกที่เลย



พอถึงสถานี Bukit Bintang ก็ลงเลยค่ะ


ออกจากสถานีโมโนเรลมา จะเจอสี่แยกใหญ่ เต็มไปด้วยผู้คนและรถรา ย่านบูกิต บินตัง เป็นย่านที่เจริญที่สุดใน KL เรียกได้ว่าอยู่ใจกลางเมืองเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยห้างมากมาย เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย


หากมองไปทางขวามือจะเห็นห้าง Lot10 ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หัวมุม โดยมีร้าน H&M อยู่ที่ชั้นล่าง ซึ่ง H&M ที่นี่หากมาช่วงเทศกาลเซลล์ ก็จะลดราคาพอสมควรเลยล่ะค่ะ แต่ว่าลดแค่บางอย่างเท่านั้น ซึ่งรวมๆ แล้ว แบบของเสื้อผ้าที่นี่มีให้เลือกน้อยกว่าที่สิงคโปร์ค่ะ ส่วนราคาก็พอๆ กัน (เทศกาล Malaysia Mega Sale จะมีในช่วงหน้าร้อน อยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายนของทุกปี)


จากนั้นเดินเลี้ยวขวาไปตามถนน ก็จะเจอร้าน VINCCI แบรนด์ดังของมาเลเซีย ซึ่งเป็นสาขาบูกิต บินตัง เป็นสาขาที่ร้านค่อนข้างใหญ่ และคนก็เยอะมากๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวทัวร์ไทย ก็จะต้องพามาที่สาขานี้แหละค่ะ หากใครไม่ชอบความวุ่นวาย ก็สามารถไปช้อปร้านวินชี่ได้ตามห้างสรรพสินค้าทุกห้างได้เลย แต่อาจจะมีของให้เลือกน้อยกว่าสาขานี้เท่านั้นเอง อ้อ...ถ้าใครมาช่วงเทศกาลเซลล์ล่ะก็ ต้องรีบช้อปหน่อยนะคะ เพราะว่าสินค้าจะมีจำกัดมากๆ เนื่องจากโดนกวาดซื้อไปหมดเรียบร้อยแล้วจ้า



เดินไปตามเส้นทางนี้ ก็จะเจอร้านรวงเต็มไปหมดเลยล่ะค่ะ หากใครต้องการแลกเงิน ก็สามารถแลกได้แถวๆ นี้เลย มีหลายร้าน เรทเท่าๆ กันแทบทุกร้านค่ะ น่าจะเรทดีที่สุดใน KL แล้ว และสามารถใช้เงินไทยแลกได้ด้วยนะคะ ดีจริงๆ 



 เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอร้านรวงมากมาย มีร้านอะไรบ้าง สาวๆ นักช้อปตามมาดูกันค่ะ


สำหรับร้านยูนิโคล่นั้น ราคาไม่ต่างจากไทยเลยค่ะ แถมช่วงเทศกาลเซลล์ก็ไม่ลดด้วย >.< ส่วนซิโฟร่านั้น ราคาก็พอๆ กับสิงคโปร์ และไม่ลดเช่นกันค่ะ


เลยมาอีกนิด ก็จะเจอห้างหรู PALIVION (พาวิลเลี่ยน) ที่มีทั้งสินค้าแบรนด์ชั้นนำ และ Luxury Brand เป็นห้างที่ใหญ่และกว้างขวางทีเดียวค่ะ ให้อารมณ์คล้ายๆ สยามพารากอนบ้านเรา


น้ำพุด้านหน้าห้าง สัญลักษณ์ของพาวิลเลี่ยน ที่ใครไปใครมาจะต้องแวะมาถ่ายรูป


ด้านในห้างค่ะ ดูโอ่อ่าทีเดียว ห้างพาวิลเลี่ยนนั้นมีด้วยกันทั้งหมด 7 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้น ซึ่งอย่างที่บอกว่า ห้างที่นี่จะแปลกๆ ค่ะ อย่างที่พาวิลเลี่ยน พอเราเดินเข้าตัวห้างมา เราจะอยู่ที่ชั้น 3 ค่ะ งงมั้ยล่ะ


เดินผ่านเห็นดิสเพลย์หน้าร้านสวยๆ เลยถ่ายรูปมาซะหน่อย



ที่ห้างพาวิลเลี่ยน ก็มีร้าน VINCCI เช่นเดียวกันนะคะ อยู่ที่ชั้น 3 ก็คือชั้นแรกที่เราเดินเข้ามาถึงนั่นเอง และที่นี่ ก็มีร้านโดนัทชื่อดัง J.CO DONUTS & COFFEE อยู่ด้วยล่ะค่ะ ซึ่งจัดว่าเป็นสาขาเดียวใน KL เลย ส่วนโดนัทจะหน้าตาน่ากินขนาดไหน และรสชาติเป็นอย่างไร อ่านรีวิวได้ที่นี่

ปิดท้ายเอนทรี่ ด้วยการเปิดถุงช้อปปิ้งของมินกันหน่อย ว่าได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้างค่ะ ซึ่งก็ซื้อไม่เยอะเท่าไหร่  เพราะว่ามินยังต้องแบกเป้ไปมะละกา และข้ามไปสิงคโปร์อีก >.<



อ้อ....ห้างที่นี่ และช้อปต่างๆ มักจะเปิดปิดเวลาเดียวกันค่ะ คือ 10:00 - 22:00 เหมือนกันทุกร้านจ้าาาา แหล่งช้อปใน KL ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ไว้ติดตามกันได้ในเอนทรี่ต่อๆ ไปค่ะ